“ผมได้แต่สงสัย ยังหาคำตอบไม่ได้
ทำไมตำแหน่งทางการเมืองทำให้คนเรียนดี ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ
เป็นนักการเมืองที่หลายคนชื่นชม กลับกลายเป็นคนกะล่อนปลิ้นปล้อนได้ถึงเพียงนี้
หรือว่าโดยกมล sun-ดานแล้ว พวกชนชั้นปกครองบ้าอำนาจมักมีพันธุกรรมของความกะล่อนอยู่เสมอ”
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย
และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “ไทยเรดนิวส์” และ “วอยซ์ ออฟ ทักษิณ”
เขียนจดหมายระบายความรู้สึกหลังจากถูกหมายจับกรณี
ทำผิดต่อ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เนื่องจากแถลงข่าวและออกแถลงการณ์กรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
ซึ่งนายสมยศประกาศจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจนถึงที่สุด แม้จะสูญเสียอิสรภาพ
แต่จะไม่ยอมสูญเสียความเป็นคน
“คุณอภิสิทธิ์ใช้ชีวิตในวัยเด็กและเติบโตในสังคมตะวันตก อาจไม่มีความรู้ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ
และอาจไม่ใส่ใจต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาปมหันต์”
คำพูดกับผลงาน
ที่สำคัญกว่า 2 ปีภายใต้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เพียงถูกมองว่า
แก้ปัญหาล้มเหลวเกือบทุกด้านเท่านั้น แต่ยังทำให้ความแตกแยกและขัดแย้งในสังคมไทยยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ทั้งที่ประกาศเมื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งภาคแบ่งสี ขจัดการเมืองที่ล้มเหลวออกไป
เพื่อนำความสมัครสมานสามัคคีกลับคืนมา
โดยอาศัยความยุติธรรมเป็นกระบวนการนำหน้า จะยึดหลักนิติธรรม นิติรัฐ
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และเคารพ
ในกระบวนการและเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
“ผมทราบดีว่าสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ไม่ปรกติและเป็นวิกฤต
และประชาชนคนไทยมีความทุกข์ ผมถือว่าผมเป็นนักการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย
ผมเป็นอาสาสมัคร และผมไม่มีสิทธิจะหนีปัญหาหรือปฏิเสธความรับผิดชอบ”
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยวาทศิลป์อย่างน่ายกย่องจนคนฟังเคลิบเคลิ้ม
แต่ในฐานะผู้นำรัฐบาลกลับใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยมถึง 2 ครั้ง คือ
เหตุการณ์สงกรานต์เลือดปี 2552 และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
ขณะที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประกาศแผนปฏิรูปประเทศไทย
โดยเฉพาะนโยบายประชาวิวัฒน์ที่เน้นแก้ปัญหา
ให้กับวินมอเตอร์ไซค์ ผู้ค้าหาบเร่-แผงลอย คนขับรถแท็กซี่ และเกษตรกรที่มีหนี้สิน
ซึ่งไม่ต่างจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่นายอภิสิทธิ์เคยตำหนิว่าเป็นระบบอุปถัมภ์ของนักการเมือง ทำให้ขาดวินัยการคลัง
แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์กลับลอกเลียนแบบ
และลด แลก แจก แถมยิ่งกว่ารัฐบาลไทยรักไทยอย่างไม่ละอาย
จุดยืนและตัวตน “อภิสิทธิ์”
ในการปาฐกถาและให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์หลายครั้งก็ประกาศว่าเป็นนักการเมือง
ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อย่างในเว็บไซต์ส่วนตัวก็พูดถึงจุดยืนของตนเองว่า
“ผมสนใจการเมืองเมื่อครั้งที่มีอายุ 9-10 ขวบ ที่ระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
ได้เห็นคนนับหมื่นนับแสนออกมาชุมนุมกันตามท้องถนนและต่อสู้โดยยอมเอาชีวิตเข้าแลก
คุณพ่อได้อธิบายว่าออกมาเรียกร้องสิทธิ ทำให้ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน
จึงตัดสินใจตั้งแต่ครั้งนั้นว่าจะเป็นนักการเมือง...ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยเปลี่ยนใจ”
แต่ครั้งเกิดม็อบเสื้อเหลืองออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณนั้น
นายอภิสิทธิ์กลับเสนอให้มีนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2540
เพื่อเป็นทางออกของวิกฤตการเมือง
โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมกับพรรคต่างๆที่อยู่ตรงข้ามพรรคไทยรักไทยบอยคอตการเลือกตั้ง
จนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้ออกมาคัดค้าน แต่กลับวางเฉย
เช่นเดียวกับการรณรงค์ทำประชามติให้รับรองรัฐธรรมนูญ 2550 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
นายอภิสิทธิ์ได้ออกมาร่วมเรียกร้องให้รับรองรัฐธรรมนูญไปก่อนแล้วค่อยแก้ไขในภายหลัง
แต่กว่า 3 ปีที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ทั้งในฐานะผู้นำฝ่ายค้านและนายกรัฐมนตรี
กลับสร้างเงื่อนให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญกลายเป็นวิกฤตการเมืองจนทุกวันนี้
ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยประณามว่านักการเมืองบางกลุ่มทำตัวเหมือน ส.ส. ให้เช่า คือ
พวกที่ทำให้เกิดวิกฤตชาติ และจะไม่ร่วมทำงานด้วย
แต่วันนี้นอกจากนายอภิสิทธิ์ไม่รังเกียจที่จะร่วมทำงานด้วยแล้ว
ยังให้ตำแหน่งและยังเพิกเฉยกับการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย
จับโกหก “อภิสิทธิ์”
คลิปต่างๆที่มีการนำมาจับโกหกนายอภิสิทธิ์จึงมีมาตลอดว่า
นายอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองที่พูดจริงทำจริง
หรือปลิ้นปล้อนโกหกตอแหล อย่างกรณีการชุมนุมของกลุ่ม
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออก
ซึ่งนายอภิสิทธิ์เคยอภิปรายในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2551
ให้นายสมัครมีสำนึกรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกับผู้ชุมนุม
“...การที่จะมีประชาชนจากหนึ่งคนหรือจะแสนคนลุกขึ้นมาเรียกร้อง
ให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ ทบทวนตัวเอง
หรือพิจารณาตัวเอง ไม่ได้ขัดกับหลักประชาธิปไตยครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีข้อสงสัยว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนั้น
อาจจะแค่บกพร่องผิดพลาด ถ้าร้ายแรงกว่านั้นก็คือ
ละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิของประชาชน หรือเลวร้ายอีกเรื่องหนึ่งคือ
การทุจริตคอร์รัปชัน จริงครับ ปัญหาเหล่านี้มีกระบวนการทางกฎหมาย
แต่ท่านดูเถอะครับ ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยส่วนใหญ่เขาไม่รอให้กฎหมายจัดการครับ
มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าสำนึกหรือความรับผิดชอบของนักการเมือง ที่เขาบอกว่ามันต้องสูงกว่าคนธรรมดา”
เป็นคนหรือเปล่า?
ขณะที่เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่มีการสลายกลุ่มพันธมิตรฯ
ที่ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาจนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บประมาณ 400 คนนั้น
นายอภิสิทธิ์ได้ออกมาเรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น
แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออกหรือยุบสภา
เพราะหมดความชอบธรรมแล้ว แม้ผู้ชุมนุมจะกระทำผิด รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิฆ่า
“เหตุการณ์ทั้งหมดนายกฯไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบว่าเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
หรือไม่ก็จงใจให้เหตุการณ์เกิดขึ้น”
“แต่ที่เลวร้ายกว่าการโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่คือ การใส่ร้ายประชาชน”
“ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะมีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส
แล้วยังมีรัฐที่ยัดเยียดความผิดให้ประชาชนอีก ถือเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้”
“ผมเคยได้ยินฝ่ายรัฐบาลชอบถามคนนั้นคนนี้ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า
แต่พฤติกรรมที่ท่านทำอยู่ไม่ใช่เป็นคนไทยหรือเปล่า แต่เป็นคนหรือเปล่า”
คำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่เรียกร้องต่อรัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชาย
เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
จึงตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับที่นายอภิสิทธิ์สั่งให้ใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงคราม
สลายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
จนมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 91 คน และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน
ทั้งที่เรียกร้องให้ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่นั้น
นายอภิสิทธิ์จึงต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเป็นนักการเมือง
ที่มีความรับผิดชอบทางการเมืองและเป็นคนหรือเปล่า?
แก้ตัวข้างๆคูๆ
เช่นเดียวกับกรณีนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์
และนายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติ กับพวกอีก 5 คน
รุกล้ำเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชา จนถูกทหารกัมพูชาจับและดำเนินคดีในศาล
ซึ่งปรากฏคลิปวิดีโอที่มีภาพและเสียงชัดเจนที่นายพนิชโทรศัพท์ถึง
“คิว” (นายอิทธิศักดิ์ สังขมัย ผู้ช่วย ส.ส. ของนายพนิช) ให้โทรศัพท์
บอกนายสมเกียรติ ครองวัฒนาสุข เลขานุการส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ ว่าได้ข้ามมาเขตกัมพูชาแล้ว
ทั้งยังย้ำว่าอย่าให้ใครรู้
เพราะนายกฯรู้อยู่คนเดียวนั้น ยิ่งตอกย้ำว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
เพราะหลังปรากฏคลิปที่พาดพิงถึงนายอภิสิทธิ์จนต้องออกมาแถลงยอมรับว่า
เป็นคนส่งนายพนิชเข้าไปดูพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจริง
เพราะประชาชนร้องเรียนเรื่องที่ทำกินและปัญหาหลักเขตแดน
แต่ไม่ทราบรายละเอียดของเส้นทางจนปรากฏเป็นข่าวว่าถูกจับ
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงคลิปวิดีโอว่ามีความยาว 20 กว่านาที
แต่คลิปที่โพสต์ตัดเหลือเพียง 1 นาทีกว่า จึงทำให้เกิดความสับสน
เพราะในคลิปตัวเต็มนายพนิชได้พูดต่อที่ไม่เหมือนกับที่พูดตอนแรกที่บอกว่า
เชื่อว่ายังอยู่ในเขตไทยแล้วกำลังไปในหลักหมุดที่ 46
ฉะนั้นจึงไม่ควรดูคลิปแค่นาทีกว่าๆแล้วเข้าใจว่านายพนิชไปกัมพูชาแล้วนายกฯรู้เรื่องทั้งหมด
แต่อยากให้ดูคลิปทั้งหมดหรือที่มีความยาว 4 นาทีกว่า
“อภิสิทธิ์” ตระบัดสัตย์
อย่างไรก็ตาม
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯและกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติ กลับเชื่อว่า
การจับกุม 7 คนไทยครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ติดต่อ
ให้ฝ่ายกัมพูชาจับ จนกระทรวงกลาโหมต้องออกมาตอบโต้ว่าบิดเบือน เลื่อนลอย ไม่มีมูลความจริง
ต้องการทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมและกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กลับตั้งข้อสังเกตว่า
การจับ 7 คนไทยซึ่งไม่ต่างจากตัวประกันนั้นมีวาระซ่อนเร้นอื่นใดหรือไม่
นอกจากต้องการพิสูจน์ความจริงว่า
ดินแดนไทยถูกรุกล้ำและยึดครองโดยทหารและชุมชนชาวกัมพูชา
ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯเปิดเผยว่า
นายพนิชได้ชักชวนให้ลงพื้นที่เขาพระวิหารตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2553
แต่ได้ปฏิเสธการเดินทางไปแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างลับๆ
นอกจากนี้นายปานเทพยังระบุว่า
หากรัฐบาลยกเลิกข้อผูกพันแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
และถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก
ก็สามารถผลักดันทหารและชุมชนชาวกัมพูชาออกจากดินแดนไทย
และจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าเสียใจอย่างวันนี้
แต่เพราะนายอภิสิทธิ์ตระบัดสัตย์ รับปากแล้วทำไม่ได้
แค่หลอกประชาชนไม่ให้ชุมนุม แล้วยังอ้างว่าทำประชาพิจารณ์ถึง 15 ครั้ง
ทั้งที่เป็นแค่การจัดฉาก
ขณะที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติออกมาแฉว่า
เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียว
และทำประชาพิจารณ์ในจังหวัดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องยกเลิกเอ็มโอยู 43 อีกด้วย
ศรีธนญชัยตัวพ่อ!
จึงเห็นได้ชัดเจนว่าแม้นายอภิสิทธิ์จะได้รับการยกย่องว่ามีวาทกรรมเป็นเลิศ
แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ มาโดยตลอดในเรื่องของจุดยืนทางการเมือง
และคำพูดที่เชื่อถือได้หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่พูดโกหกหรือพูดอย่างทำอย่าง
แต่ยังสามารถสร้างเรื่องให้คนเชื่อและหลงคารมได้อย่างสนิทใจ
ไม่ต่างอะไรกับพระเอกลิเกรูปหล่อป้อคำหวานจนแม่ยกหลงใหลอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ขณะที่สังคมไทยก็เหมือนคนหูหนวกตาบอดจริงๆ ไม่ใช่แค่ลืมง่ายเหมือนคนความจำเสื่อม
แต่ยังเพิกเฉยและยอมรับการโกหกคำโตของรัฐบาล
โดยเฉพาะคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่หลายต่อหลายครั้ง
มีหลักฐานชัดเจนจนแทบไม่ต้องถามว่าโกหกตอแหลหรือไม่
อย่างกรณีคลิปนายพนิชและพวกถูกจับกุม
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุว่าคลิปทั้งหมดที่ไม่มีการตัดต่อมีความยาวประมาณ 20 กว่านาที
สามารถตรวจสอบและพิสูจน์ความจริงได้นั้น
ถ้านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่คนโกหกตอแหลและไม่กลัวความจริง
ก็สามารถนำมาเปิดพิสูจน์ให้ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้ตัดสินใจได้
ถ้ากระดากใจที่จะใช้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯแถลงข่าวข้างเดียวเหมือน ศอฉ.
ในยุค พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็สามารถใช้รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยฯ” ออกอากาศ
ให้คนทั้งประเทศรับชมไปเลยว่าของจริง 20 นาทีนั้นเกิดอะไรขึ้น
แบบคำต่อคำ วินาทีต่อวินาที โดยไม่ต้องตัดต่อ ดีกว่าออกมาแก้ตัวแบบถูๆไถๆหรือแถไปเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับที่คนเสื้อแดงและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเรียกร้อง
ให้เปิดเผยสำนวนการชันสูตร 91 ศพ ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
โดยเฉพาะกรณี 6 ศพที่วัดปทุมวนารามทั้งหมด
หากนายอภิสิทธิ์และกองทัพยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่
ทหารไม่ได้ฆ่าประชาชนก็ต้องเปิดให้สาธารณชนรับทราบแบบไม่ปิดบังอำพราง
ไม่ใช่พูดแต่ผู้ก่อการร้ายหรือชายชุดดำ
แต่จนบัดนี้ยังไม่เคยจับชายชุดดำได้แม้แต่คนเดียว
รวมถึงการนำภาพวิดีโอเทปวงจรปิดของห้าง
ในวันที่เซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผามาเปิดดูกันให้เห็นจะจะว่า
เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
ในวันที่ทหารได้เข้ายึดพื้นที่ราชประสงค์ไว้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
ถ้าหากเห็นว่าเป็นใคร
โดยเฉพาะเป็นคนเสื้อแดง หรือชายชุดดำผู้ก่อการร้ายเป็นผู้ก่อเหตุลงมือเผา
จะได้ทำให้คนไทยสิ้นสงสัย หรือเป็นเพราะรู้แล้วว่าคนในภาพที่ก่อเหตุเป็นใคร?
จึงไม่สามารถนำมาเปิดเผยความจริงให้ปรากฏ?
ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังใช้คำพูดแก้ปัญหา หรือพูดโกหกเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ วันหนึ่ง
เมื่อฟ้าเปลี่ยนสีความจริงก็ย่อมจะปรากฏ และนายอภิสิทธิ์ก็อยู่ในอำนาจไม่ได้
หากไม่มีกองทัพหรือมุดบ้านของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญให้ปกป้อง
ดังนั้น พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกจับโกหกครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้แต่กลุ่มพันธมิตรฯที่เคยให้การสนับสนุนจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีทุกวันนี้
ยังประณามว่า “ตระบัดสัตย์”
ถ้า “นาธาน โอมาน” เจอนายอภิสิทธิ์ก็ต้องเรียกว่า “พี่”
ถ้า “ศรีธนญชัย” เจอนายอภิสิทธิ์ก็ต้องเรียกว่า “พ่อ”
ส่วนประชาคมโลกก็คงให้สมญานามเป็น “พินอคคิโอ” กลับชาติมาเกิด
นายอภิสิทธิ์วันนี้จึงถือเป็น “นาธานตัวพี่” และ “ศรีธนญชัยตัวพ่อ” จริงๆ!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 293 วันที่ 8-14 มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17
คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank...ws_id=9266
http://www.internetfreedom.us/thread-8656.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น