แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ขอโทษที่ "ตาบอด" โดย ชฎา ไอยคุปต์

bozo


"สันติพงษ์ อินจันทร์" หรือ "เบิ้ด"




หลายคนเริ่มกลับไปทำงานหลังวันหยุดเทศกาลปีใหม่
บางคนเดินทางออกไปชาร์ทแบตให้ชีวิตในต่างจังหวัดบ้านเกิด
บางคนจัดงานเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนานรื่นเริงในบ้าน ที่ทำงาน
เป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่เปรมปรีด์
มีความสุขกันถ้วนหน้าแทบทุกคน มอบคำอวยพร ของขวัญให้แก่กันในวันขึ้นปีใหม่


มีหนุ่มตาบอดคนหนึ่งที่พลาดโอกาสทุกอย่างที่กล่าวมา นอกจากงานรื่นเริงแล้ว
เขาไม่สามารถกลับไปทำงานได้อีกต่อไปแล้ว
เขาไม่มีโอกาสร่วมฉลองปีใหม่กับใครต่อใครได้เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา
เขาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพื่อรักษาดวงตาที่บอด
อันเกิดจากกระสุนยางวิ่งตรงกระแทกดวงตาจนเลือดอาบและมืดบอดในที่สุด
เมื่อครั้งที่เขาและครอบครัวทำอาหารไปส่งให้ผู้ร่วมชุมนุมคนเสื้อแดง
ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ดังเช่นที่เคยทำ


แต่วันนั้นไม่เหมือนวันอื่นๆ เป็นวันที่ 10 เมษายน เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่การชุมนุม
โดยการตีกรอบปิดล้อมระดมยิงกระสุน ที่ทางการอ้างว่าเป็นกระสุนกระดาษ กระสุนยาง
และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ทั้งจาก กระบอง กระสุนยาง กระสุนตะกั่ว ระเบิด ฯลฯ


"สันติพงษ์ อินจันทร์" หรือ "เบิ้ด" อายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว "อินจันทร์"
หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ไม่ถึง 3 เดือน ก็ต้องมาเสียดวงตาไป 1 ข้าง
เพราะถูกกระสุนจากทางฝั่งเจ้าหน้าที่ยิงใส่จนตาจนพิการต้องผ่าตัดเปลี่ยนตาเทียมใส่แ
ทน
ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ 10 เมษายน
หลังจากครอบครัว"อินจันทร์" นำอาหารกล่องที่ 3 คนพ่อ แม่ ลูกช่วยกันทำ
เพื่อไปส่งให้ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า
เพราะพวกเขาเห็นใจชาวบ้านที่ต้องจากบ้านจากเรือนทิ้งไร่นามานอนกลางดินกินกลางถนน
เพื่ออนาคตลูกหลานของพวกเขาจะได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
การมาเรียกร้องเป็นความหวังของพวกเขา ที่คิดว่าดีกว่าต้องนอนรอความตายทั้งเป็นอยู่ที่บ้าน
ครอบครัวนี้จึงคิดว่าอะไรที่ช่วยเหลือได้ก็ช่วยกันไป
เมื่อชาวบ้านยอมเสียสละออกมาใช้ชีวิตยากลำบากข้างถนนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยแทนพว
กเรา
ที่ต้องใช้ความอดทนยาวนานได้ขนาดนี้


วันสุดท้ายก่อนที่ "เบิ้ด" จะตาบอดเขานั่งดูข่าวว่า
มีเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม ด้วยความเป็นห่วงชาวบ้าน
เขาจึงชวนพ่อแม่ไปส่งข้าวและน้ำช่วยเหลือชาวบ้าน ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรง
ขนาดมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บถึงขั้นพิการไปหลายร้อยหลาย
ทุกวันนี้ "เบิ้ด" เริ่มชินกับการใช้ชีวิตด้วยดวงตาเพียงข้างเดียว
เข้ารับการรักษาและผ่าตัดอยู่หลายครั้งสุดท้ายต้องควักลูกตาทิ้งไปข้างหนึ่งเพื่อใส่
ตาเทียม


หลังจากตาเทียมเริ่มเข้าที่แล้วเขาได้รับโอกาสเข้าทำงานกับสื่อแห่งหนึ่ง
เริ่มทำงานวันแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ในฐานะผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ทำหน้าที่แปลข่าว
ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ไม่หนักมากสำหรับคนพิการทางสายตา 1 ข้าง
เขาเริ่มมีความหวัง ตื่นเต้นกับงานใหม่ที่ท้าทาย เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ในฐานะคนเริ่มทำงานอย่างสนุกสนานและเอาจริงเอาจังกับงานมาก


สุดท้ายทุกอย่างพังทลายลงในพริบตา
หลังจากที่ต้องใช้สายตาจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน
ด้วยตาซ้ายข้างเดียวหนักเกินไปที่สายตาจะรับไหว มันเริ่มมีอาการพร่ามัว ตาแห้ง
ทนทำงานถึง 20 วัน ในที่สุดก็ต้องลาออก
หลังจากแพทย์แนะนำให้หยุดทำงานที่ใช้สายตามาก
เนื่องจากตรวจพบอาการกระจกตาแห้ง ต่อมน้ำตาตันและเกิดอาการอักเสบ
ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการใช้สายตามากเกินไป
หากยังฝืนทำต่อไปตาอีกข้างที่เหลืออยู่ก็จะบอดเช่นเดียวกัน


ถึงแม้ทางบริษัทผู้จ้างจะให้ความช่วยเหลือลดปริมาณงานลง
แต่ "เบิ้ด" บอกว่า ทนไม่ได้ที่จะเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานและบริษัท
เพราะรับเงินเดือนเท่าคนอื่นแต่งานลดลง จึงตัดสินใจลาออกดีกว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด
และยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีศักยภาพและร่างกายที่พร้อมกว่าได้เข้ามาทำงาน


ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น"เบิ้ด"หันไปหยิบแก้วน้ำ
ที่ตั้งอยู่ทางด้านขวามือคว้าอยู่หลายครั้งเกิดอาการ"วืด" มักเกิดขึ้นเป็นประจำ
จน"เบิ้ด"เริ่มชินและบอกว่าเพราะสายตาไม่สม่ำเสมอมองได้แคบลง
การใช้ชีวิตต้องช้าลงทั้งการเดิน นอน นั่ง ทุกอย่างเปลี่ยนไปแต่เขาย้ำว่า


" ทุกอย่างในชีวิตผมเปลี่ยนไปแต่อุดมการณ์ในใจไม่มีวันเปลี่ยนไปแน่นอน
ผมจำได้ดีว่าพวกเขาทำอะไรกับผมบ้าง
ผมแค่ตาบอดมีอีกหลายคนที่ต้องพิการเป็นเจ้าชายนิทรา แขน ขา หัก และที่หนักสุด คือ ตาย
แต่ครอบครัวพวกเขายังสู้ต่อไป
ผมก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันเพราะยังเหลือสายตาอีกตั้ง 1 ข้าง
ต้องดูแลรักษาให้ดีเพื่อประคองชีวิตต่อไปได้"


"เบิ้ด" กล่าวทิ้งทายด้วยอาการปลงว่า
ในปัจจุบันงานแทบทุกอย่างมักจะใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก ดังนั้น
เขาจึงไม่มีตัวเลือกมากและคิดว่าคงมีเพียงการทำธุรกิจส่วนตัวหรือค้าขาย
ที่ไม่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา แต่เนื่องด้วยต้นทุนชีวิตที่ไม่สูงนัก
ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้คงคิดและทำอะไรได้ลำบาก
แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินไป
เพื่อหาลู่ทางหรือโอกาสต่อไปตราบที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ขอโทษที่ผมแค่ "ตาบอด"


***************

อีเมล ชฎา ไอยคุปต์ : iyacoupt@hotmail.com

http://www.facebook.com/profile.php?id=100001242647508



http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=

http://www.internetfreedom.us/thread-7961.html



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน