แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ล้มเปรมเพื่อไม่ให้เปรมล้มเจ้า

ล้มเปรมเพื่อไม่ให้เปรมล้มเจ้า ตอนที่ 1
โดย.. อ่างขาง




“เจ้า” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนเชื่อถือ เคารพบูชา แต่ไม่มีตัวตนมี แต่เรื่องเล่า ตำนาน กล่าวถึงความดีงามที่เทพ หรือมนุษย์ ผู้นั้นที่ได้เคยกระทำความดีไว้ก่อนสิ้นชีวิต มีมนุษย์หัวใส ได้เสนอตัวเป็นคนกลางสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเจ้าได้ เชื้อเชิญวิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ มาพูดคุยโดยตรงให้ข้อปรึกษากับมนุษย์ รักษาโรค ดลบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผู้ที่นับถือบูชา สร้างปาฏิหาริย์ได้ เราเรียกผู้ที่เป็นสื่อกลางสื่อสารนี้ว่า “คนทรงเจ้า” แต่ทั้งหมดนี้ ตัวเจ้าเองจะรู้เห็นด้วยหรือไม่มิอาจพิสูจน์ได้ แต่คนทรงเจ้าได้ผลประโยชน์แน่นอน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ เหตุการณ์นั้นๆ จะพาไป

เฉกเช่นเดียวกัน ที่ พล.อ. เปรม กำลังกระทำ และได้กระทำกันมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนานนั่นคือ ทำตัวเองเป็นคนทรงเจ้าเสียเอง ทำให้ดูเหมือนว่า การพูดการกระทำที่ตนเองแสดงออกเป็นพระประสงค์ขององค์เหนือหัว โดยที่ข้าในฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่อาจทราบได้เลยว่า สิ่งนั้นใช่สิ่งที่พระองค์ประสงค์หรือไม่

สิ่งที่เป็นกระแสพระราชดำรัสในอดีตหรือปัจจุบัน จะถูกนำเอาบางช่วงบางตอนในกระแสนั้นๆ มาขยายความ และอธิบายความอย่างบิดเบือน ตีความเข้าข้างตนเอง ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา โดยมิได้เคารพยำเกรงอาญาแต่อย่างใด เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวคือประโยชน์แห่งตน ทำให้ประชาชนเห็นว่า พระองค์ท่านกล่าวตำหนิ บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งที่ตนเองไม่ชอบ แล้วนำมาขยายความให้เกิดการขัดแย้งอย่างต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ แยกคนออกเป็นสองกลุ่ม ตีความสรุปกันไปเลย พวกที่อยู่ข้างเดียวกับพวกตนคือพวกที่อยู่ฝั่งพระองค์ท่าน ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยกับตนคือผู้ที่คิดจะล้มล้างฯ ในความหมายแยกคนอีกพวกหนึ่งให้อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าอยู่หัวไปเลย

มีเรื่องที่เป็นข้อกังขามากมายหลายครั้งหลายตอน ที่แสดงชัดว่าพระองค์ท่านไม่ได้มีพระประสงค์เช่นนั้น แต่ทั้งหมดเป็นการแอบอ้างโดยกลุ่มคนที่เป็นเครือข่ายของพล.อ.เปรมเป็นผู้ แสดงเองและแอบอ้างทั้งสิ้น เช่น

1. พระองค์เคยมีพระราชดำรัสออกมาว่า “ประเทศไทยยังไม่ได้ล่ม ไม่ต้องกู้” ในครั้งที่กลุ่มพันธมิตรที่เป็นเครือข่ายของ พล.อ. เปรมกำลังใช้ข้อความ “กู้ชาติ” ออกมาเผยแพร่ปลุกระดมมวลชลให้ออกมาต่อสู้กับรัฐบาล เพื่อให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ

2. ในเวลาต่อมาอีกไม่นานมีกระแสพระราชดำรัสออกมาอีกว่า “มาตรา 7 ใช้ไม่ได้ เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย” ในครั้งที่คนกลุ่มเดิมร่วมกับนักวิชาการและพรรคการเมืองที่ประชาชนไม่ได้มอบ ความศรัทธาให้ ออกมาเรียกร้องขอให้พระองค์ท่านใช้มาตรา 7

อ่านต่อ: http://www.redthai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=771:--1&catid=30:angkang&Itemid=86

..............................................................................

ล้มเปรมเพื่อไม่ให้เปรมล้มเจ้า ตอนที่ 2
โดย.. อ่างขาง



ย้อนกลับไปดูประเทศไทยก่อนการทำรัฐประหาร 19 กย. 49 กันบ้าง งานประชุมเอเป็คในกรุงเทพฯ ที่ยิ่งใหญ่อลังการในงานนั้น ประชาชนทุกคนต่างปราบปลื้มปิติเป็นล้นพ้น ทั้งงานที่มีบุคคลยิ่งใหญ่ของโลก มาร่วมประชุม ทีวีทุกช่องถ่ายทอดสดออกไปทั้งโลก ประชาชนต่างเฝ้ามองอยู่หน้าจอทีวีเพื่อชมพระบารมีขององค์เหนือหัวของพวกเขา เมื่อต้องพบปะกับผู้นำต่างชาติ พระองค์ท่านจะเป็นที่ชื่นชอบจากผู้คนที่ไม่ได้เป็นคนไทยมากน้อยเพียงไหน ดูพระอิริยาบถทุกครั้งที่พระองค์ท่านแสดงออกและคนไทยก็ไม่ได้ผิดหวังเลย ความภาคภูมิใจที่เกิดมาในประเทศนี้


อีกงานที่ไม่สามารถสรรหาคำพูดอันใดมาเอ่ยเปรียบเปรยได้ นั่นคืองาน ครบรอบ 60 พรรษาของการครองราชย์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรีฯ ที่กษัตริย์ทั่วทั้งโลกเสด็จมาในงานราชพิธี และพระองค์ท่านคือหนึ่งเดียวที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่มีกษัตริย์ ในโลกใบนี้มา ความยิ่งใหญ่ความอลังการของงานราชพิธีนี้ กระผมไม่สามารถจะอธิบายความได้ถูกว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน


เพียงแต่จะบอกว่า ให้ดูการสรรหาองค์พระสันตะปาปาแห่งสำนักวาติกันของแต่ละองค์ เมื่อต้องเลือกกันเข้ามาใหม่ ที่มีมนุษย์บนโลกมากกว่าครึ่งโลกรอชมอยู่ ประชาชนที่ไปรอเฝ้า เมื่อแสดงออก มันรู้สึกได้ซึ่งอารมณ์แห่ง ความรัก ความศรัทธา ที่ประชาชนมอบให้ กับ กษัตริย์ตัวแทนเทพฯ ของพวกเขา ณ ที่นั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทุกสิ่งแสดงออกมาด้วยแววตา ท่าทางของแต่ละคนที่จ้องไปที่ระเบียงด้านหน้า เมื่อได้เห็นภาพที่ปรากฏ พวกเขาแสดงอะไรกันออกมาบ้าง บ้างก็ตะโกนโห่ร้องด้วยความปิติ บ้างก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปิติ บ้างก็ทำการสักการะด้วยท่าทีของชาวคริส ความประทับใจอยู่ในความทรงจำมิอาจลืมเลือน ภาพข่าวนี้คือหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก ภาพนั้นเกิดขึ้นในเมืองไทยด้วยเหมือนกันในวันครบรอบ 60 ปีที่ครองราชย์


เรื่องนี้ เมื่อสื่อมวลชนในต่างประเทศได้มาพบเห็นงาน ครบรอบ 60 พรรษาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าของเราบ้าง จากข้อเขียนที่พวกเขาถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ พวกเขากล่าวว่า “เชื่อว่า นับจากนี้ต่อไปจะไม่เห็นมนุษย์ด้วยกันแสดงความรักต่อมนุษย์ด้วยกัน ที่ออกมาจากภายในจิตใจและศรัทธาของตนเองอย่างล้นปรี่ได้ขนาดนี้อีกแล้ว” ซึ่งผมมิบังอาจอธิบายและเปรียบเทียบกันระหว่างพระองค์ท่านกับพระสันตะปาปา ได้ เพราะมันมิบังควรยิ่ง แต่เราเป็นคนไทยรู้ดีด้วยตัวเราเอง รู้สึกภูมิใจอยู่ในตัวเองที่สิ่งนี้คนไทยทำได้ยิ่งกว่าคำชมหรือเปรียบเทียบ ใดๆทั้งสิ้น


หลังจากพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่ ผ่านพ้นไป นายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณก็โดนโค่นอำนาจ โดยมี พล.อ. เปรมอยู่เบื้องหลัง นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ วันที่ไม่มีนายกฯที่ชื่อทักษิณในประเทศไทยอีกแล้ว


อ่านต่อ http://www.redthai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=772:-19-49-&catid=30:angkang&Itemid=86

1 ความคิดเห็น:

  1. เห็นด้วยทุกคำพูดกับข้อความนี้ และประเทศไทยของเราคงไม่ได้สงบสุขเหมือนสมัยท่านทักษินบริหารประเทศอีกต่อไป ถ้าไม่กำจดพวกอมาตชั่วและขี้ข้าเลวพวกนี้ให้สิ้นซาก

    ตอบลบ

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน