แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

ยึดกุมเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ให้มั่น:"รู้ว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู"ที่แท้จริง



โดย หลาน ผญาผาบ

ขบวนการต่อสู้เผด็จการของประชาชนไทย นับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่บงการโดยชนชั้นอำมาตย์ใหญ่ โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้กุศโลบายตุลาการภิวัฒน์ ออกกฏหมายโจรยึดทรัพย์ ตามจองล้างจองผลาญ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนเลือกให้มาเป็นผู้นำบริหารแผ่นดิน ตามกติการัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย อย่างอุบาทว์ชาติชั่ว สามานย์เกินกว่าผู้มีใจรักความเป็นธรรมจะยอมรับได้

ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคนภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ และคนไทยที่อยู่ต่างแดนได้ประจักษ์แจ้ง มีความตื่นตัว ไม่อาจทนนิ่งเสมือนยอมรับการใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรมของเป็นผด็จการอำมาตย์ได้ การรวมตัวกันของคนที่ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ต่อสู้เผด็จการจึงได้แผ่ขยาย ลุกลามไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ

เริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆ เช่น กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มสมาพันธ์ประชาธิปไตย กลุ่มอาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ กลุ่ีมเล่นเว็บทางอินเตอร์เน็ตฯ พัฒนาเป็น "แนวร่วมประชาชนต่อสู้่เผด็จการ" (นปก.) หรือ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน" ในปัจจุบัน เป็นแกนกลางประสานงานหัวขบวนเคลื่อนไหวกับกลุ่มองค์กรต่อสู้เผด็จการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัดมากกว่า 60 จังหวัด ซึ่งนักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมืองหลายคนประมาณว่ามีคนเสื้อแดงเกิน 5 ล้านคน (ประเมินจากผู้ลงรายชื่อถวายฏีกาเมื่อต้นปี 2553 ) และจำนวนมากที่ผ่านการต่อสู้ในเหตุการณ์ เมษา - พฤษภา 53ได้ตาสว่างรู้ซึ้งถึงศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตยคือใคร

ปราชญ์แห่งการเปลี่ยนแปลงท่านหนึ่ง เคยกล่าวไว้ "ที่ไหนมีคน ที่นั่นย่อมมีปัญหา" อุปมาดังคำพังเพยของไทยที่ว่า "คนหลายคน มาจากหลายพ่อหลายแม่ แม้แต่พี่น้องท้องเดียวกัน ก็ยังต่างกัน" วัจนะที่ยกมาก็เพื่อจะอธิบายว่า การที่คนมีความแตกต่างกัน ในรูปลักษณ์ ความคิดจิตใจ ผ่านสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ขัดเกลาเป็นอัุตตาตัวตน มาตลอดอายุขัยนั้น คนล้วนต่างกันเป็นธรรมดา "คนเสื้อแดง" ก็ย่อมอยู่ในบริบทนี้ เป็นสัจธรรม แต่ที่ "คนเสื้อแดง" มีไม่แตกต่างกัน ก็คือ ความต้องการไปถึงเป้าหมาย "โค่นล้มเผด็จการอำมาตยาธิปไตย" ที่ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในแผ่นดินอย่างแท้จริง

นิพนธ์ว่าด้วยการจัดการแก้ไขความขัดแย้งให้ถูกต้อง ของมหาบุรุษนักปฏิวัติเขียนไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ได้ชี้แนะ การแยกมิตรแยกศัตรูให้ถูกต้อง สามัคคีสร้างแนวร่วมกับคนจำนวนมาก เพื่อโดดเดี่ยวศัตรูที่แท้จริงของประชาชน

เมื่อพิจารณาอย่างแยบคาย "ใครคือ ศัตรู" ตามขั้นตอนการปฏิวัติประชาธิปไตย ก็คือ ชนชั้นปกครองศักดินาทุนขุนนางผูกขาด ผู้สมคบคิดกับจักรวรรดินิยมผู้ได้เปรียบ(ดูตารางประกอบ) มีเพียงหยิบมือเดียวที่เป็น "ปฏิปักษ์" เท่านั้น

ความขัดแย้งที่ "ไม่ใช่เป็นปฏิปักษ์" ถือว่าเป็นความขัดแย้งรอง ได้แก่ เจ้าหน้าที่กลไกอำนาจรัฐ(ชั้นผู้น้อย) ทหาร ตำรวจ ผู้พิพากษา ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ สมาชิกกลุ่มปฏิกริยาต่างๆ ฯ พวกเขาเหล่านั้นก็คือ ผู้ที่ทำหน้าที่แลกกับ "ลาภ ยศ สรรเสริญ" หรือไม่ก็เพราะหลงผิด เพราะถูกปลูกฝังความเชื่อจากการปลุกระดมมอมเมา ซึ่งบางคนหากได้รับข้อมูลที่เหมาะควร ก็สามารถช่วงชิงให้เป็นกลาง หรือเข้าร่วมต่อสู้กับฝ่ายเราได้

ส่วนกรณีความขัดแย้งในหมู่คนเสื้อแดงที่ต่อสู้ในทิศทางเดียวกันนั้น มหาบุรุษนักปฏิวัติท่านก็ได้วิเคราะห์ชี้แนะไว้ว่า เป็นความขัดแย้งในหมู่ประชาชน สามารถแก้ไขได้โดยวิธีการประชาธิปไตย ให้การศึกษาแก้ไขทัศนะที่ผิดพลาดของบุคคล หรือองค์กรด้วยการสำรวจวิจารณ์ ใช้ท่าทีถนอมรักฉันท์สหายร่วมอุดมการณ์ ด้วยเข็มมุ่ง "สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี" และยึดกุมความคิดชี้นำ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" ให้มั่น รวมทั้งต้องสำรวจถึงข้อบกพร่อง รู้จักวิจารณ์ส่วนที่ผิดพลาดของตนเอง ปัญหาใหญ่หลวงหรือศัตรูร้ายทั้งปวง ก็มิอาจกั้นเป็นอุปสรรค นั่นย่อมหมายถึง พลังคนเสื้อแดงเข้มแข็งเกรียงไกรที่จะ่ช่วยกันสรรสร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตย เจริญก้าวหน้าเทียบกับชาติอารยะอย่างวัฒนาถาวร

________________________________________________________________________________________________

คู่ความขัดแย้ง ๓ แบบ ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความเป็นธรรมของสังคม

1. คู่ความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์

- ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย (คนเสื้อแดง) และพรรคเพื่อไทย มี ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์

VS

-- อำมาตยาธิปไตย (ศักดินานิยม กลุ่มทุนขุนนางผูกขาด) ผู้กุมกลไกอำนาจรัฐ มีรัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน ภายใต้การค้ำจุนจากอภิมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งหัวโจกองค์กรปฏิกริยา ที่ปกปักษ์รักษาระบอบอำมาตย์ ขัดขวางทำลายการต่อสู้ขบวนการประชาธิปไตยคนเสืื้อแดง

ลักษณะความขัดแย้ง :

เป็นความขัดแย้งหลักของการต่อสู้ มีลักษณะชี้ขาด คู่่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่ได้เปรียบอำร่ตีะญ(ปกครองกดขี่) กับชนชั้นที่เสียเปรียบ (ถูกกดขี่)ในมิติโครงสร้างส่วนบน ทางการเมือง(ควบคุมกลไกอำนาจรัฐ) ทางเศรษฐกิจ(ผูกขาดตัดตอน) ทางสังคมวัฒนธรรม(ครอบงำรูปการจิตสำนึก) แสดงออกถึงการต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย หรือความก้าวหน้ากับความล้าหลัง เป็นต้น

2. คู่ความขัดแย้งที่ไม่เป็นปฏิปักษ์

- ขบวนการต่อสู้ประชาธิปไตยคนเสื้อแดง

VS

- สมาชิกพวกเสื้อเหลือง กลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตย กลุ่มฉวยโอกาสต่างๆ เป็นต้น

ลักษณะ :

เป็นความขัดแย้งทวิลักษณะของสมาชิกหรือองค์กรปฏิกริยา อันเกี่ยวเนื่องกับเหตุปัจจัยการครอบงำความคิดเชิงผลประโยชน์ของผู้นำ หากในส่วนสมาชิกมาจากชนชั้นที่เสียเปรียบทางสังคม บางคนอาจมีใจรักความเป็นธรรม เป็นคนมีเหตุผล หากใช้ท่าทีที่เป็นมิตรให้ข้อมูลความจริงจากฝ่ายเรา บางคนก็สามาถที่จะเปลี่ยนจุดยืน หันมาเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง หรืออย่างน้อยก็จะวางเฉย ไม่เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับพวกปฏิปักษ์อีกต่อไป

----------------------------------------------------------------------

3. ความขัดแย้งในหมู่คนเสื้อแดง

- ความขัดแย้งระหว่างองค์กร ส่วนใหญ่จะมาจากความขัดแย้งจากการใช้ท่าทีที่ไม่ "แสวงจุดร่วม" อาจมีเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวข้อง มีการชิงการนำกัน รวมทั้งการสื่อสารต่อกันไม่ครบถ้วน

- ความขัดแย้งภายในองค์กร เช่น ใช้วาจา่ท่าทีไม่เหมาะสม ไม่รู้จัก "สงวนจุดต่าง" ต่อกัน เอาเปรียบกันเล็กๆน้อยๆ รวมทั้งการขาดวินัยองค์กร เป็นต้น

ลักษณะ:

จัดเป็นความขัดแย้งในหมู่มิตร ที่สามารถแก้ไขได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย เช่น สร้างระเบียบวินัยองค์กร สำรวจวิจารณ์เมื่อมีปัญหาภายใต้ความคิดชี้นำ "สามัคคี วิจารณ์" และ " วิจารณ์ตนเอง" ทั้งนี้ เพื่อกระชับพลังความสามัคคี สู่จุดมุ่งหมายสูงสุด คือ ประกอบส่วนกับขบวนใหญ่ ประสานการต่อสู้ สร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

---------------------------------------------------------------------

ประเด็นอภิปราย:

แสดงความเข้าใจ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง"เป็นอย่างไร???

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน