โดย หลาน ผญาผาบ
ขบวนการต่อสู้เผด็จการของประชาชนไทย นับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่บงการโดยชนชั้นอำมาตย์ใหญ่ โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้กุศโลบายตุลาการภิวัฒน์ ออกกฏหมายโจรยึดทรัพย์ ตามจองล้างจองผลาญ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนเลือกให้มาเป็นผู้นำบริหารแผ่นดิน ตามกติการัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย อย่างอุบาทว์ชาติชั่ว สามานย์เกินกว่าผู้มีใจรักความเป็นธรรมจะยอมรับได้
ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคนภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ และคนไทยที่อยู่ต่างแดนได้ประจักษ์แจ้ง มีความตื่นตัว ไม่อาจทนนิ่งเสมือนยอมรับการใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรมของเป็นผด็จการอำมาตย์ได้ การรวมตัวกันของคนที่ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ต่อสู้เผด็จการจึงได้แผ่ขยาย ลุกลามไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ
เริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆ เช่น กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มสมาพันธ์ประชาธิปไตย กลุ่มอาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ กลุ่ีมเล่นเว็บทางอินเตอร์เน็ตฯ พัฒนาเป็น "แนวร่วมประชาชนต่อสู้่เผด็จการ" (นปก.) หรือ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน" ในปัจจุบัน เป็นแกนกลางประสานงานหัวขบวนเคลื่อนไหวกับกลุ่มองค์กรต่อสู้เผด็จการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัดมากกว่า 60 จังหวัด ซึ่งนักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมืองหลายคนประมาณว่ามีคนเสื้อแดงเกิน 5 ล้านคน (ประเมินจากผู้ลงรายชื่อถวายฏีกาเมื่อต้นปี 2553 ) และจำนวนมากที่ผ่านการต่อสู้ในเหตุการณ์ เมษา - พฤษภา 53ได้ตาสว่างรู้ซึ้งถึงศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตยคือใคร
นิพนธ์ว่าด้วยการจัดการแก้ไขความขัดแย้งให้ถูกต้อง ของมหาบุรุษนักปฏิวัติเขียนไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ได้ชี้แนะ การแยกมิตรแยกศัตรูให้ถูกต้อง สามัคคีสร้างแนวร่วมกับคนจำนวนมาก เพื่อโดดเดี่ยวศัตรูที่แท้จริงของประชาชน
เมื่อพิจารณาอย่างแยบคาย "ใครคือ ศัตรู" ตามขั้นตอนการปฏิวัติประชาธิปไตย ก็คือ ชนชั้นปกครองศักดินาทุนขุนนางผูกขาด ผู้สมคบคิดกับจักรวรรดินิยมผู้ได้เปรียบ(ดูตารางประกอบ) มีเพียงหยิบมือเดียวที่เป็น "ปฏิปักษ์" เท่านั้น
ส่วนกรณีความขัดแย้งในหมู่คนเสื้อแดงที่ต่อสู้ในทิศทางเดียวกันนั้น มหาบุรุษนักปฏิวัติท่านก็ได้วิเคราะห์ชี้แนะไว้ว่า เป็นความขัดแย้งในหมู่ประชาชน สามารถแก้ไขได้โดยวิธีการประชาธิปไตย ให้การศึกษาแก้ไขทัศนะที่ผิดพลาดของบุคคล หรือองค์กรด้วยการสำรวจวิจารณ์ ใช้ท่าทีถนอมรักฉันท์สหายร่วมอุดมการณ์ ด้วยเข็มมุ่ง "สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี" และยึดกุมความคิดชี้นำ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" ให้มั่น รวมทั้งต้องสำรวจถึงข้อบกพร่อง รู้จักวิจารณ์ส่วนที่ผิดพลาดของตนเอง ปัญหาใหญ่หลวงหรือศัตรูร้ายทั้งปวง ก็มิอาจกั้นเป็นอุปสรรค นั่นย่อมหมายถึง พลังคนเสื้อแดงเข้มแข็งเกรียงไกรที่จะ่ช่วยกันสรรสร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตย เจริญก้าวหน้าเทียบกับชาติอารยะอย่างวัฒนาถาวร
คู่ความขัดแย้ง ๓ แบบ ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความเป็นธรรมของสังคม
1. คู่ความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์
- ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย (คนเสื้อแดง) และพรรคเพื่อไทย มี ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์
VS
-- อำมาตยาธิปไตย (ศักดินานิยม กลุ่มทุนขุนนางผูกขาด) ผู้กุมกลไกอำนาจรัฐ มีรัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน ภายใต้การค้ำจุนจากอภิมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งหัวโจกองค์กรปฏิกริยา ที่ปกปักษ์รักษาระบอบอำมาตย์ ขัดขวางทำลายการต่อสู้ขบวนการประชาธิปไตยคนเสืื้อแดง
ลักษณะความขัดแย้ง :
เป็นความขัดแย้งหลักของการต่อสู้ มีลักษณะชี้ขาด คู่่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่ได้เปรียบอำร่ตีะญ(ปกครองกดขี่) กับชนชั้นที่เสียเปรียบ (ถูกกดขี่)ในมิติโครงสร้างส่วนบน ทางการเมือง(ควบคุมกลไกอำนาจรัฐ) ทางเศรษฐกิจ(ผูกขาดตัดตอน) ทางสังคมวัฒนธรรม(ครอบงำรูปการจิตสำนึก) แสดงออกถึงการต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย หรือความก้าวหน้ากับความล้าหลัง เป็นต้น
2. คู่ความขัดแย้งที่ไม่เป็นปฏิปักษ์
- ขบวนการต่อสู้ประชาธิปไตยคนเสื้อแดง
VS
- สมาชิกพวกเสื้อเหลือง กลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตย กลุ่มฉวยโอกาสต่างๆ เป็นต้น
ลักษณะ :
เป็นความขัดแย้งทวิลักษณะของสมาชิกหรือองค์กรปฏิกริยา อันเกี่ยวเนื่องกับเหตุปัจจัยการครอบงำความคิดเชิงผลประโยชน์ของผู้นำ หากในส่วนสมาชิกมาจากชนชั้นที่เสียเปรียบทางสังคม บางคนอาจมีใจรักความเป็นธรรม เป็นคนมีเหตุผล หากใช้ท่าทีที่เป็นมิตรให้ข้อมูลความจริงจากฝ่ายเรา บางคนก็สามาถที่จะเปลี่ยนจุดยืน หันมาเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง หรืออย่างน้อยก็จะวางเฉย ไม่เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับพวกปฏิปักษ์อีกต่อไป
----------------------------------------------------------------------
3. ความขัดแย้งในหมู่คนเสื้อแดง
- ความขัดแย้งระหว่างองค์กร ส่วนใหญ่จะมาจากความขัดแย้งจากการใช้ท่าทีที่ไม่ "แสวงจุดร่วม" อาจมีเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวข้อง มีการชิงการนำกัน รวมทั้งการสื่อสารต่อกันไม่ครบถ้วน
- ความขัดแย้งภายในองค์กร เช่น ใช้วาจา่ท่าทีไม่เหมาะสม ไม่รู้จัก "สงวนจุดต่าง" ต่อกัน เอาเปรียบกันเล็กๆน้อยๆ รวมทั้งการขาดวินัยองค์กร เป็นต้น
ลักษณะ:
จัดเป็นความขัดแย้งในหมู่มิตร ที่สามารถแก้ไขได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย เช่น สร้างระเบียบวินัยองค์กร สำรวจวิจารณ์เมื่อมีปัญหาภายใต้ความคิดชี้นำ "สามัคคี วิจารณ์" และ " วิจารณ์ตนเอง" ทั้งนี้ เพื่อกระชับพลังความสามัคคี สู่จุดมุ่งหมายสูงสุด คือ ประกอบส่วนกับขบวนใหญ่ ประสานการต่อสู้ สร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
---------------------------------------------------------------------
ประเด็นอภิปราย:
แสดงความเข้าใจ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง"เป็นอย่างไร???
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น