แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สดุดีวีรประวัติ 4 ปีการลุกขึ้นสู้ของภาคพลเมือง สดุดีอิฐก้อนแรก สุชาติ ณ บางไซ

***เมื่อ 1พ.ย.53ตำรวจกองปราบฯ นำกำลังเข้าจับกุม นายวราวุธ ฐานังกรณ์ หรือ สุชาติ นาคบางไทร อดีตแกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มการเมืองภาคประชาชนกลุ่มแรกที่เปิดตัวต่อต้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ความ บังเอิญอยู่ที่สุชาติถูกจับในวันที่ 1 พฤศจิกายนปีนี้ อันตรงกับวันแรกที่เขาเปิดตัวเป็นผู้นำกลุ่มคนวันเสาร์เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2549 หรือครบรอบ 4 ปีแห่งการต่อต้านรัฐประหาร
ตำรวจ อ้างเหตุการจับกุมว่า สืบเนื่องจากนายสุชาติ ได้ขี้นกล่าวปราศรัยเวที นปช.ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 โดยมีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง

การเข้าจับกุมตัวสุชาติได้ เมื่อวานนี้ ขณะกำลังนั่งรับประทานอาหาร ที่บริเวณศูนย์อาหาร ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าแพลททินั่มแฟชั่นมอลล์ สอบถามผู้ต้องหา ให้การยอมรับเป็นบุคคลตามหมายจับจริง ซึ่งในวันนี้ได้กลับมาหาลูกที่ กทม. และนัดมารับประทานอาหารด้วยกัน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม เพื่อดำเนินคดีต่อไป***

***สุชาติจะหมิ่นหรือไม่หมิ่นฯตามข้อกล่าวหา สิ่ง ที่เราอยากเรียกร้องจากกระบวนการยุติธรรมคือต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ประกัน ตัว ไม่ใช่จับยัดคุกขังลืมเหมือนดา ตอร์ปิโด หรือใครๆที่โดนคดีนี้ และเขาจะผิดหรือถูกนั่นเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันตามกระบวนยุติธรรมที่เป็นธรรม...ดังนั้นวันนี้มารำลึกวีรประวัติการต่อสู้เบื้องแรกของภาคประชาชน ก่อน จะคลี่คลายขยายตัวมาเป็นเสื้อแดงทั่วไทย ฝ่ายประชาธิปไตยทั่วมุมโลกอย่างที่เห็นกันเวลานี้ ซึ่งจะทำให้เห็นคุณูปการอันสำคัญของสุชาติกับกลุ่มคนวันเสาร์...

***หลังรัฐประหาร19 กันยายน 2549 คนแรกที่ออกมาต้องบันทึกเป็นเกียรติยศแก่ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร และทวี ไกรคุปต์ นักการเมืองอาวุโส แต่เพราะมาน้อยเป็นวีรชนลุยเดี่ยว เลยโดนพวกมันหิ้วขึ้นรถตู้ไปเก็บที่เซฟเฮาส์ทันควัน***

***พอวันรุ่งขึ้น กลุ่มเครือข่าย19กันยาต้านรัฐประหาร ซึ่งเป็นการรวมตัวกันหลวมๆของนักกิจกรรมนักศึกษาเก่าค่ายธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ บวกกับบก.ลายจุด และอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ ก็พากันแต่งดำไป ยกป้ายประท้วงที่ห้างแห่งหนึ่ง ไม่สนกฎอัยการศึกห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน เพราะไปกัน5คนพอดี แม้แต่การจัดชุมนุมที่สนามบอลธรรมศาสตร์ไปกันเป็นร้อย แต่ก็ซอยแบ่งเป็นวงละ5คน รวมแล้วก็ไม่เกิน5 ไม่ผิดกฎหมายเผด็จการ...นี่เป็นตำนานบทแรกของการลุกขึ้นสู้"ภาคพลเมือง"คือประท้วงแบบ"ดื้อแพ่ง"เชิงสัญลักษณ์ต่อกฎเกณฑ์เผด็จการ***

***ต่อมาพวกคณะรัฐประหารก็สะดุ้งเฮือกไปมา แล้วหาว่าทักษิณมี"คลื่นใต้น้ำ"จะต่อต้านการรัฐประหาร แต่ก็ไม่เห็นโผล่ซักที มีกระทาชายนายหนึ่งโผล่มาจากรู ใช้ชื่อแฝงว่า"เตมูจิน"คุย คำเขื่องว่าจะระดมคนมาต้านคมช.เป็นหมื่น ฝ่ายประชาธิปไตยก็เห็นหน่วยก้านพอพึ่งพาได้ เลยโดดจะไปร่วม แต่ก็ออกอาการแปลกๆคือไปจัดแถลงข่าวที่โรงแรมรอยัลก็ให้พวกกองเชียร์ควักค่า ห้องประชุมแถลงข่าว ค่ากาแฟด้วย พอจะไปหา"บังสนธิ"หัวหน้า คณะรัฐประหารเพื่อยื่นข้อเรียกร้อง ก็ไม่องอาจมาดผู้นำการต่อต้าน หากแต่"กุมไข่"เข้าไป"ขอรับๆๆ"เป็นหลัก พอวันนัดหมายที่สนามหลวงที่ว่าจะมีคนขนมาเป็นหมื่นก็หาย นายเตมูจินเลยกลายเป็น"คลื่นใต้น้ำลวงโลก" บรรดากองเชียร์ก็เลยเลิกพึ่งพาอาศัย แล้วหันมาพึ่งตัวเองแทน***

***1 พฤศจิกายน 2549 หลังรัฐประหาร 19 กันยายนไม่นานนัก และหลังลุงนวมทอง ไพรวัลย์ "เสียสละ"ไป1วันเพื่อปลุกสังคมไทยให้ออกมาต้านเผด็จการและทวงประชาธิปไตย กลุ่มคนใส่ชุดดำก็ ปรากฎตัวที่ท้องสนามหลวงฝั่งธรรมศาสตร์ มีเก้าอี้เล็กๆ 1 ตัว โทรโข่ง 1 อันไม่มีใครมีชื่อเสียงบิ๊กเนม เป็นผู้นำอะไรมาก่อนทั้งนั้น มีสิ่งเดียวคือหัวใจที่จะขับไสเผด็จการ เรียกร้องประชาธิปไตยคืนมา***



***เนื่องจากกลุ่มคนที่ไปรวมตัวต้านรัฐประหารที่สนามหลวงนี้เป็นคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ วันปกติต้องทำมาหากิน พอวันอาทิตย์เป็นวันfamily dayก็เลยนัดหมายเจอกันทุกวันเสาร์ นั่นคือปฐมบทของ"คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ"

แกน นำก็ต้องหาชื่อแฝงไปก่อน จะสมศักดิ์ สมชาย สมหญิง หรือสุชาติก็ว่ากันไป และเนื่องจากเป็นภาคพลเมืองของแท้ไร้การจัดตั้งใดๆ ก็เปรียบเสมือนการต่อสู้ของชาว"บางระจัน" เพียงแต่บางระจันยุคนี้มันเป็นยุค"ไซออน"แล้ว ก็เลยกลายเป็นรหัสวงในนัดหมายกันว่าพวกเขาคือชาว "บางไซ(ออน)" พอนักข่าวมาถามแกนนำที่ถือโทรโข่งบนเวทีว่าชื่อแซ่อะไรไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาตอบไปว่า"ผมชื่อ สุชาติ ณ บางไซ" นักข่าวเลยส่งเข้าไปที่โรงพิมพ์เป็น"สุชาติ นาคบางไทร" ที่ไปที่มาจุดเริ่มต้นของคนวันเสาร์ ขบวนการที่เป็นหน่อเนื้อเสื้อแดงในเวลาต่อมา ก็เริ่มต้นจากตรงนั้นนั่นเอง***

***การต่อสู้ของภาคประชาชนเบื้องต้นก็ต้องบอกว่าใครคิดอะไรได้ก็ทำไป ดังที่ปรากฎว่าขณะที่"สุชาติ นาคบางไทร"กำลังเหยียบเก้าอี้หัวโล้นอยู่ท่ามกลางพี่น้องนับร้อยที่สนามหลวง เมื่อ 1 พฤศจิกายน 49 นั้น ภายในธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์เองทางบก.ลายจุดและเครือข่าย19กันยาต้านรัฐประหารก็รวมพลคนกลุ่มหนึ่งอยู่แถวสนามบอลธรรมศาสตร์แล้วพอได้ที่ก็เคลื่อนขบวนออกจากธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์เพื่อไปประท้วงที่หน้ากองทัพบก

ระหว่างเดินผ่านสนามหลวงที่สุชาติ นาคบางไทรกำลังยืนบนเก้าอี้ใช้โทรโข่งด่าคมช.นั้น ก็มีเสียงหนึ่งแทรกมาว่า"เฮ้ยๆนั่นใช่พวกเราพวกต้านรัฐประหารใช่มั๊ย เห็นใส่เสื้อดำเหมือนกัน"ทาง ฝ่ายที่กำลังเดินขบวนบอก"ใช่" พวกสนามหลวงก็ยุติการอภิปรายแล้วแห่เข้ามาร่วมเดินขบวนไปยังหน้ากองทัพบก คนตอนนั้นนับช่วยแล้วเต็มที่คือซัก 300 คนเห็นจะได้..แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นให้มีเสื้อแดงเรือนแสนเรือนล้านเป็นไฟ ลามทุ่งในเวลาต่อมา***

***นั่นเป็นการเดินขบวนหนแรกที่จัดการโดย เครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร เป็นวันแรกที่เป็นจุดกำเนิดคนวันเสาร์ ทั้ง2กลุ่มหลอมรวมไปหน้ากองทัพบกโดยมิได้นัดหมาย และประการสำคัญทั้งที่ปลายฝนต้นหนาวแล้วก็ตาม พอขบวนเคลื่อนไปถึงหน้ากองทัพบก ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ เปียกกันมะล้อกมะแล้กไปตามๆกัน ฝนยังอยู่คู่ฝ่ายประชาธิปไตยเรื่อยมา บางทีหลายครั้งก็มานอกฤดูหน้าตาเฉย!

แต่ภาคประชาชนอย่างเครือข่าย 19กันยาฯ และคนวันเสาร์ฯค่อยลดบทบาทลง เมื่อทัพหลวงอย่าง3เกลอเริ่มออกศึกในปีถัดมา...แต่เมื่อไหร่ที่ภารกิจเรียก ร้อง แน่นอนว่า ภาคประชาชนไม่ได้ลี้กายสลายตัวไปไหน พวกเราจะกลับมา ด้วยวุฒิภาวะที่แกร่งกล้า ประสบการณ์ที่แกร่งกร้าน และยุทธวิธีที่จัดเจนขึ้นกว่าเมื่อแรก เป็นแน่***

***และควรบันทึก ไว้เป็นวีรประวัติการต่อสู้ของภาคพลเมืองไทยด้วยว่า นับจากจุดเริ่มต้นการลุกขึ้นสู้ของภาคพลเมืองเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม 2550 ก็เป็นครั้งแรกที่ภาคพลเมืองผู้เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยพากันใส่"เสื้อแดง"ออกสู่ท้องถนนปรากฎต่อโลกเป็นครั้งแรก

โดยจุดเริ่มต้นไอเดียมาจากใครยังต้องตามหาเพื่อให้"เครดิต"กันต่อไป แต่คนแรกที่กำหนดสีสัญลักษณ์และนำพาการรณรงค์คือบก.ลายจุด-สมบัติ บุญงามอนงค์ โดยตอนนั้นฝ่ายอำมาตย์จะเข็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ2550ให้ผ่านจงได้ ฝ่ายประชาธิปไตยจึงใช้สัญลักษณ์สีแดง เหมือนกับ"ไฟแดง"ไม่ให้ผ่านออกมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญ

ผลสรุปจบลงที่ฝ่ายอำมาตย์ใช้อำนาจทุกทางผ่านได้ฉิวเฉียด51:49% และสีแดงได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้อันสง่างามและมีเกียรตินับแต่นั้น***

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน