แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์แถลง “วิกฤตยังไม่จบ : ปัญหาและทางออก”

โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
23 พฤษภาคม 2553

และก้าวต่อไปที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะผมกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วคือ ก่อนชุมนุมความยุติธรรมของประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย และความไม่ยุติธรรม หลังชุมนุม หลังยุติการชุมนุม ปัญหาของประเทศนี้ นอกจากจะเหมือนเดิมแล้ว ยังแย่กว่าเดิม ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ไม่มีความยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงยังมีเหตุผลผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะยังสามารถรวบรวม กำลังและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อได้


หมายเหตุนายจาตุรนต์ฉายแสงแถลงข่าว"วิกฤตยังไม่จบ : ปัญหาและทางออก"โรงแรมเรดิสันพระรามเก้าวันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2553 ถอดคำต่อคำ -- ปรับปรุงถ้อยคำให้กระชับสมบูรณ์

“ผมมาเสนอความเห็นโดยหวังว่าจะมีส่วนช่วยให้ประเทศไม่ถลำลึกไปสู่วิกฤตที่ รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ โดยที่ความเห็นของผมต่อไปนี้ ก็อาจจะฟังดูเหมือนกับว่า สวนกับกระแสที่รัฐบาลหรือศอฉ.กำลังอธิบายกำลังเสนออยู่ โดยเฉพาะที่ผ่านสื่อต่างๆ ของรัฐ และขณะนี้ทราบดีสื่อต่างๆถูกแทรกแซงควบคุม และสื่อทางเลือกถูกปิด ถูกบล็อกไปจำนวนมากมาย เพราะฉะนั้นการให้ความเห็นในลักษณะสวนกระแสโดยคำนึงถึงการจะแก้ปัญหาของ ประเทศ

ผมคิดว่ายังมีความจำเป็นต้องช่วยกันทำ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจผู้ที่ได้รับการสูญเสียหรือเสียหาย ทั้งญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ผู้ที่ต้องสูญเสียอาคาร สถานที่ สูญเสียอาชีพ รายได้ และสูญเสียอื่นๆทั้งหลาย

การชุมนุมของนปช. ประชาชนที่เข้าร่วมได้ยุติลงไป หลังจากที่ได้ชุมนุมมา 2 เดือนกว่า ก่อนการชุมนุมประเทศเรามีปัญหาวิกฤตใหญ่ก็คือ ความไม่เป็นประชาธิปไตย และความไม่ยุติธรรม หรือที่รู้จักกันในคำว่า สองมาตรฐาน มีความเห็นแตกต่างกันทางการเมืองต่อสภาพการปกครองของระบบที่เป็นอยู่ และของรัฐบาลปัจจุบันอย่างมาก จนกระทั่งเรียกได้ว่า มีการแบ่งข้างแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน

วิกฤตก่อนหน้าการชุมนุม เมื่อผ่านการชุมนุมมา 2 เดือนกว่าและการชุมนุมยุติไปแล้ว เรากลับพบว่าปัญหาวิกฤตเหล่านั้น นอกจากยังคงอยู่แล้ว ยังเพิ่มปัญหาตามมาอีกมาก ก็คือมีการเข้าไปจัดการแก้ปัญหาด้วยการใช้มาตรการทางทหารและความรุนแรง โดยเฉพาะหลังการชุมนุมยุติลง มีการใช้ความรุนแรงอย่างไร้ทิศทางทำให้เกิดการสูญเสียจำนวนมากอย่างที่ทราบ กันอยู่ ปัญหาที่วิกฤตที่มีมาตลอดได้ถูกซ้ำเติม เนื่องจากเกิดแบ่งข้างแบ่งฝ่าย เกิดการกวาดล้าง ทำลายล้างที่ดูเหมือนจะไม่มีการจบสิ้น ดูเหมือนจะมีการเสี่ยงจากการตอบโต้แก้แค้น ล้างแค้น ซึ่งล้วนแต่ทำให้สังคมเข้าไปสู่ความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น รุนแรงมากยิ่งขึ้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นและลุกลามใหญ่โตมาจนถึงขณะนี้ และไม่มีทีท่าจะลดลง เป็นผลจากความล้มเหลวในการที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดทางการ เมือง และเป็นความล้มเหลวจากสิ่งที่รัฐบาลหรือนายกฯเรียกว่า ปรองดอง

ความขัดแย้งครั้งนี้ การชุมนุมครั้งนี้ ได้ถูกเสนอเป็นข้อเรียกร้องหรือเป็นทางออกด้วยการยุบสภา แต่ในการเข้าไปจัดการชุมนุมด้วยการใช้คำว่า ขอพื้นที่คืนบ้าง กระชับวงล้อมบ้าง ได้เลือกที่จะใช้มาตรการทางทหาร คือการใช้กำลังพร้อมอาวุธที่ร้ายแรงเข้าดำเนินการครั้งแล้วครั้งเล่าอย่าง ต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้คำพูดที่สวยหรูของนายกรัฐมนตรีว่า ปรองดอง การเสนอแผนปรองดองของนายกฯ เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู และเป็นการพูดในหลายๆ โอกาสที่สวยหรู และฟังดูดีและไพเราะ แต่ว่ามาตรการที่ดำเนินการจริงคือการปราบปรามด้วยกำลังอาวุธ

น่าเสียดายมีหลายช่วงหลายตอน การแก้ปัญหาการชุมนุมสามารถทำด้วยการเจรจาหาข้อสรุป แต่ว่าในหลายครั้งบางทีก็ยังเป็นปัญหาจากการที่แกนนำยังต้องการรายละเอียด เพิ่มเติม และบางครั้งก็ต้องการรายละเอียดเกินไป แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อกำลังจะหาข้อสรุปได้ หลายครั้งกำลังจะหาข้อสรุปได้ หลายครั้งได้เกิดการปราบปรามซ้ำซ้อนเข้าไป จนกระทั่งการชุมนุมไม่สามารถยอมตามการเจรจาก่อนหน้านั้นได้ เพราะโกรธแค้นจากการที่ผู้ชุมนุมในนั้นมีบาดเจ็บ และเสียชีวิต

ในช่วงสุดท้ายซึ่งรัฐบาลสามารถเลือกทางออกด้วยการเจรจาและทำเป็นข้อสรุปว่า ตกลงร่วมกันที่จะร่วมกันยุติการชุมนุมโดยสันติ ขณะนั้นหลายฝ่ายเสนอให้เจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กลุ่มส.ว.ได้มีการหารือกับแกนนำแล้ว และแกนนำนปช.ยอมที่จะยุติการชุมนุมด้วยตัวเองอย่างสันติ รัฐบาลกลับบอกว่าได้ตัดสินที่จะใช้มาตรการทางทหารสลายการชุมนุมแล้ว และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใจได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแผนได้ ซึ่งอันนี้เป็นการปฎิเสธที่ผมเชื่อว่า ทั่วโลกไม่อาจรับได้ เมื่อประชาชนที่ชุมนุมประกาศชัดเจนต่อหน้าวุฒิสภาจำนวนมาก รวมทั้งเป็นที่รับรู้ไปถึงประธานวุฒิสภาด้วยว่าพร้อมเจรจาเพื่อยุติการ ชุมนุม แต่รัฐบาลกลับใช้มาตรการทางทหารเข้าไปทำให้คนเสียชีวิตในวันนั้น ทั้งก่อนการยุติการชุมนุมและก่อนนั้นทำให้คนเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 15 คน

สิ่งทีเกิดขึ้นตามมาหลังการชุมนุมจึงเกิดเป็นปัญหาใหญ่โต เนื่องจากประชาชนซึ่งเคยคาดว่าหวังว่าจะยุติการชุมนุมโดยสงบ เป็นการคาดหวังว่าการชุมนุมโดยสงบ เป็นความสำเร็จเหมือนการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา แต่กลับถูกปราบปรามด้วยความรุนแรง จนทำให้เพื่อนที่ร่วมชุมนุมเสียชีวิตและบาดเจ็บไปเป็นจำนวนมาก ก็เกิดเป็นความโกรธแค้น เป็นการกระทำที่ผิด และไร้ทิศทาง สร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง นอกจากความโกรธแค้นแล้ว สภาพหลังจากนั้นก็เกิดความเป็นจลาจล ซึ่งไม่มีใครทราบว่ามีฝ่ายที่สาม ฝ่ายที่สี่ หรืออะไรก็ตามเข้ามาแทรกซ้อนอย่างไรหรือไม่

ทั้งหมดนี้ ถ้ามองย้อนหลังไป ซึ่งความจริงหลายฝ่ายที่ต้องการให้แก้ปัญหาโดยสันติวิธี รวมทั้งต่างประเทศจะมองมาตรงกันหมดว่าเหตุการณ์นี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าหากมีการเจรจาจนถึงที่สุด ด้านหนึ่งผู้ชุมนุมเสนอให้มีการยุติการชุมนุมแล้ว ไม่ใช่เสนอให้ประสบความสำเร็จด้วยทางการเรียกร้อง ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ผ่านมา 2 เดือนก็คือ การไม่ใช่วิธีการทางการเมืองเข้าแก้ปัญหา และไม่มีการปรองดองจริงตามที่นายกฯได้พูด หรือเสนอเป็นแผนปรองดอง

ปัญหามีอยู่ว่า จากนี้ไปจะทำอย่างไรไม่ให้วิกฤตขยายตัวต่อไป หรือประเทศถลำลึกจนเกิดวิกฤตมากขึ้น คือนายกฯ ต้องไปทำความเข้าใจคำว่าปรองดองเสียใหม่ แล้วก็ต้องไปหาทางแก้ปัญหา โดยไม่ถือว่าคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างจากตนเป็นศัตรูของชาติ หรือเป็นศัตรูของรัฐบาล แล้วหามาตรการในการที่จะพูดจา เจรจา รักษากฎหมายเท่าที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ แต่ไม่กระทำเกินกว่าการรักษากฎหมายคือ การกวาดล้าง ทำลายล้างผู้ที่เป็นศัตรูทางการเมืองหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับ รัฐบาล

ปัจจัย สำคัญที่จะทำให้ปรองดองได้ที่สำคัญอันดับแรกถัดจากเยียวยาผู้ได้รับความเสีย หายในทุกๆด้านแล้วต้องมีกระบวนการยุติธรรมที่น่าเชื่อถือและยุติธรรมกับทุก ฝ่ายได้จริงลักษณะพิเศษในปัญหานี้คือมีความขัด ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ปรองดองได้ ที่สำคัญอันดับแรกถัดจากเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายในทุกๆด้านแล้ว ต้องมีกระบวนการยุติธรรมที่น่าเชื่อถือและยุติธรรมกับทุกฝ่ายได้จริง ลักษณะพิเศษในปัญหานี้คือมีความขัดแย้งระหว่างประชาชนฝ่ายหนึ่งกับรัฐบาล ฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ การรักษากฎหมายจากนี้ การนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ การใช้กฎหมายเพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์สถานการณ์ กำลังดำเนินการภายใต้การสั่งการโดยนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเป็นผู้กำกับรับผิดชอบศอฉ.ที่ใช้กฎหมายพิเศษคือพระราชกำหนดและใช้อำนาจ ทหารอย่างเต็มรูปแบบ ก็หมายความว่ากำลังมีนักการเมืองมาใช้อำนาจทางทหารอย่างสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ แล้วมาทำหน้าที่ใช้กฎหมายและรักษากฎหมาย เพื่อจัดการประชาชนและนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม

สภาพอย่างนี้จึงไม่มีทางทำให้เกิดความยุติธรรมหรือทำให้เกิดกระบวนการรักษา กฎหมายที่น่าเชื่อถือได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบพยานหลักฐาน การพิสูจน์หลักฐาน การตั้งข้อหา การดำเนินคดี การที่จะให้ความยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้งการที่จะดำเนินคดีต่อผู้ที่สั่งให้มีการฆ่าและปราบปรามประชาชน ก็คือนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ในสภาพขณะนี้โดยเฉพาะระหว่างที่ใช้พรก.อยู่นี้และมีศอฉ.อยู่นี้ ไม่มีทางที่จะให้ความยุติธรรมแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้เลย นอกจากนั้นถึงแม้ว่ายกเลิกพรก.แล้วก็ยังมีปัญหาใหญ่มากที่จะให้ความยุติธรรม กับทุกฝ่าย เพราะว่าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งก็คือรัฐบาลยังคงคุมกลไกขั้นตอนการสืบสวนดำเนินคดี อยู่ทั้งหมด

ดังนั้นปัญหาขณะนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่มากว่า จะทำอย่างไรให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่น่าเชื่อถือ และถ้าหากไม่เกิดกระบวนการยุติธรรมที่น่าเชื่อถือ ไม่ให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ความไม่ไว้วางใจ ความโกรธแค้น ความคิดที่จะหาที่พึ่งด้วยวิธีการอื่นๆ รวมทั้งการใช้ความรุนแรงต่อต้านรัฐบาลก็จะมีโอกาสความเป็นไปได้สูง และเป็นที่น่าแปลกใจว่า รัฐบาลกำลังเสนอปัญหาในลักษณะที่กวาดล้าง ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามและพยายามสร้างภาพว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เลวทราม ต่ำช้าไปหมด เหมารวมไปหมด และตั้งข้อหามากมายเกินจริง ท่ามกลางการพิสูจน์หลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือเลยก็คือทำเองฝ่ายเดียว พิสูจน์ฝ่ายเดียว

แต่ในขณะเดียวกันปรากฏว่าองค์กรระหว่างประเทศ ผู้สื่อข่าว สื่อมวลชนระหว่างประเทศ นักวิเคราะห์ต่างประเทศทั้งหลาย พูดเป็นเสียงเดียวกันหมด รัฐบาลต้องหยุดใช้ความรุนแรง ต้องหันหน้ามาเจรจา ผมคิดว่าฟังอันนี้แล้ว รัฐบาลก็คงนึกไม่ออกแปลว่าอะไรที่ให้หันหน้าเจรจากัน ทำไมองค์กรแบบอาเซียน องค์กรแบบสหประชาชาติ นักวิเคราะห์ สื่อมวลชนทั่วโลกกำลังบอกว่า รัฐบาลไทยต้องใช้มาตรการทางการเมืองและเจรจา ในขณะที่รัฐบาลบอกว่า คนที่จะเจรจาด้วยจับไปหมดแล้ว หรือกำลังไล่ล่าอยู่ แสดงว่าความเข้าใจเรื่องนี้มันต่างกันมาก ระหว่างคนที่เขาใช้มาตรฐานทางสากลกับมาตรฐานอย่างที่รัฐบาลนี้ทำอยู่ ก็หวังว่า รัฐบาลจะทบทวนสิ่งที่ทำมา และทบทวนสิ่งที่กำลังทำอยู่

ทั้งหมดนี้หวังว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการที่จะทำ ให้ประเทศไทยไม่ถลำลึกไปสู่วิกฤตที่ร้ายแรงกว่านี้ และทำให้สังคมกลับมาสู่ความปรองดองบนพื้นฐานของความประชาธิปไตย มีกระบวนการยุติธรรมที่ดี และเป็นธรรมกับทุกฝ่ายได้

การต่อสู้ในลักษณะใต้ดินไม่ใช้วิถีทางรัฐสภามีทางเสี่ยงมาตลอดอยู่แล้วใน บ้านเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และมีสองมาตรฐานมาตลอด เมื่อเกิดเหตุการณ์ในช่วง 2 เดือนมานี้ยิ่งซ้ำเติมความเป็น 2 มาตรฐาน ที่สำคัญคือทำให้คนเสียชีวิตกว่า 80 คนเท่าที่พบแล้ว บาดเจ็บเกือบ 2 พันคนเป็นเรื่องใหญ่มาก และแนวโน้มจะเสียชีวิตกันไปโดยไม่มีใครรับผิดชอบ ทั้งทางการเมืองและคดีความ จะยิ่งผลักให้คนส่วนหนึ่งรู้สึกไม่สามารถพึ่งกระบวนการยุติธรรม และการต่อสู้ตามวิถีทางรัฐสภา

ปัญหาที่เกิดขึ้นมานี้ เป็นสิ่งที่ผมพูดมาตลอด ผมพยายามเสนอให้สู้ด้วยวิธีสันติวิธี ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย และเกิดความยุติธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ ในขณะนี้ถ้าพูดไปแล้วประเทศไทยยังไม่มีกระบวนการต่อสู้ใต้ดินหรือรุนแรง แต่หากยังทำอยู่เหมือน 2 เดือนมานี้และก่อนหน้านี้ และไม่ให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้เลย ความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะเกิดการต่อสู้เกิดความขัดแย้งต่อไปจะสูงขึ้นอย่าง มาก

เรื่องนี้มีประชาชน ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากเป็นแสนๆ ล้านๆ คน เฉพาะที่สามจังหวัดพื้นที่เล็กนิดเดียวยังเกิดเหตุการณ์มากมาย ปัญหาใหญ่ที่คณะกรรมการสมานฉันท์ในอดีตสรุปไว้ เรื่องใหญ่มากเรื่องหนึ่ง คือ กระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวและไม่เป็นที่ไว้วางใจ ที่พูดผมไม่เคยพูดในลักษณะข่มขู่รัฐบาล หรือทำให้เกิดกระบวนการในการต่อสู้ที่เป็นกระบวนการใต้ดิน แต่กำลังบอกรัฐบาลนี้ว่า อย่าได้คำนึงถึงความอยู่รอดของตัวเองในทางการเมืองและทางคดีความ จนกระทั่งผลักดันประเทศไปสู่วิกฤตที่ใหญ่หลวงกว่าที่เป็นอยู่

ในส่วนของพรรคเพื่อไทยจะให้ข้อเสนอแนะอย่างไร คือ พรรคเพื่อไทยต้องช่วยดูแลผู้ที่ได้รับความเสียหาย หาทางทำเองและร่วมมือกับทุกฝ่าย รวมทั้งควรที่จะพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลในการดูแลผู้ที่เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ที่ได้รับความเสียหาย ในเรื่องของอาคาร สถานที่ ทรัพย์สิน อาชีพต่างๆ ฝ่ายค้านควรรวมช่วยดำเนินการกับรัฐบาลอย่างจริงจัง เรื่องที่เป็นคดีความถ้าพรรคเพื่อไทยเกี่ยวข้องต้องเข้าสู่เข้ากระบวนการ ยุติธรรมเท่าเทียมกับคนอื่นๆ ถ้าทำให้เสียหายทางการเมืองก็ต้องไปแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
แต่ว่าที่สำคัญพรรคเพื่อไทยต้องสรุปบทเรียนและเสนอต่อสังคมให้เห็นชัดเจนว่า การต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยโดยพรรคการเมือง และรัฐสภาควรดำเนินการต่อไปอย่างจริงจัง ให้ประชาชนมีความรู้สึก มีความเข้าใจได้ว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยพรรคการเมือง โดยระบบรัฐสภาก็ยังมีความเข้มแข็งตั้งใจจริง เพื่อพรรคเพื่อไทยควรสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนที่ทำนอก สภาในพื้นฐานหรือกรอบสันติ และปฎิเสธการต่อสู้โดยการใช้ความรุนแรง และไม่เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าว – ในส่วนของความรับผิดชอบรัฐบาลต้องรับผิดชอบการเสียชีวิต แต่กับพรรคเพื่อไทยต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง

ความรับผิดชอบ อะไรที่เข้าไปเกี่ยวข้องและทำให้เสียหายแก่บ้านเมืองก็ต้องรับผิดชอบทางการ เมือง แต่ในทางการเมืองก็ต้องรับผิดชอบด้วยการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีเหมือนคน อื่นทั่วไป

ผู้สื่อข่าว - มองว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงควรดำเนินการอย่างไรต่อไป

กลุ่มคนเสื้อแดงประสบความเสียหายและบอบช้ำมากทีเดียวในครั้งนี้ การที่ไม่ตัดสินใจที่จะยุติการชุมนุมในช่วงการเจรจาก็ทำให้พลาดโอกาสที่จะ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการชุมนุม อันนี้ก็เป็นผลจากความเห็นที่แตกต่างของแกนนำ ขณะเดียวกันตัวชี้ขาดจริงๆ ที่ทำให้การเจรจายุติไม่ได้ มันไม่ใช่มีความเห็นที่แตกต่างหรือคิดเล็กคิดน้อยของแกนนำ ผมอยู่ในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประสานงานในการเจรจา ได้พูดคุยกับแกนนำคุณวีระ คุณณัฐวุฒิ เป็นระยะๆ

อย่างวันที่ 28 เมษายน คุณวีระบอกกับผมว่า มีการเจรจาเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะไปจัดประชุมแกนนำ วันที่ 28 เมษายนบอกกับผมก่อนเที่ยง และผมก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ ปรากฏว่าบ่ายวันนั้นหรือเที่ยงวันนั้นก็เกิดปะทะกันขึ้นใกล้อนุสรณ์สถาน และมีประชาชนถูกยิงบาดเจ็บประมาณ 20 คน ทหารเสียชีวิตไป 1 คน ประชาชนที่บาดเจ็บก็กลับมาที่ชุมนุมไปอยู่โรงพยาบาลบ้าง กลับมาที่ชุมนุมบ้าง ก็พูดกับผู้ที่ชุมนุม บรรยากาศในที่ชุมนุม แกนนำของนปช.ไม่สามารถจะชุมนุมเพื่อประชุมหาข้อยุติในการเจรจาได้ ครั้งนั้นก็ล่วงเลยไป

การเจรจาทำท่าจะสำเร็จอีก ในช่วงวันที่เสธ.แดงถูกยิง ในตอนช่วงสายวันนั้นมีความพยายามที่จะทำให้การชุมนุมยุติได้และเกือบจะได้ ข้อสรุป แกนนำนัดประชุมตอนเย็น ปรากฏว่ามีการประกาศว่ายกเลิกวันเลือกตั้งโดยนายกฯ และมีการกระชับวงล้อมเกิดขึ้น ต่อมาเสธ.แดง ถูกยิง ประชาชนถูกยิง มีคนเสียชีวิต 1 คน มีประชาชนที่บาดเจ็บ 20 คน การจะประชุมหาข้อสรุปของการเจรจาของฝ่ายนปช.ก็ต้องยกเลิกไปอีก มีการปราบปรามต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นระยะ ทำการให้การเจรจาเป็นไปค่อนข้างยาก ถ้าสังเกตบรรยากาศการชุมนุม การยุติการชุมนุมไม่ง่ายสำหรับมวลชนที่กำลังโกรธแค้น ในแต่ละช่วงที่เกิดเรื่องแทรกซ้อนเข้ามามันก็ทำให้เมื่อเกิดการปราบปราม เกิดความเสียหายซ้ำซ้อนเข้ามา มันก็ทำให้การยุติการชุมนุมทำได้ยาก

เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว มีความเสียหายตามมาที่สำคัญ นอกจากการทำให้พื้นที่สี่แยกราชประสงค์เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก แน่นอนว่าความรับผิดชอบทางการเมืองก็ตกอยู่กับนปช. แต่ว่านอกจากนั้นแล้ว ผมคิดว่าคนก็จะเหมารวมว่า ความรุนแรงเสียหายเกิดจากการยุติการชุมนุมแล้ว ซึ่งก็คือการเผาอาคารสถานที่ต่างๆ คนจำนวนไม่น้อยก็คงเหมารวมไปว่า เป็นการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือนปช.ทั้งๆที่เขาเองได้ประกาศยุติการ ชุมนุมไปแล้ว และความรุนแรงเสียหายก็เกิดขึ้นจากความโกรธแค้น แบบไร้ทิศทางของประชาชนที่ไปลงมือ รวมทั้งมีการแทรกซ้อนของมือที่สามรวมอยู่ด้วย

แน่นอนว่าคนจำนวนไม่น้อยมองไปในทางตำหนิแกนนำนปช.และคนเสื้อแดง ขณะเดียวกันก็มองอีกแบบหนึ่งได้ว่า ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าทางรัฐบาลยอมตามที่ส.ว.เสนอ เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบก็แตกต่างกันไป แต่แน่นอนรัฐบาลซึ่งได้เปรียบในทางสื่อ ในทางเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ก็จะได้เปรียบ และนปช.ก็จะตกอยู่ในสภาพบอบช้ำ

การที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไปในสังคมไทย ผมคิดว่าผู้ที่ต้องการประชาธิปไตยทั้งหลาย ทั้งที่เป็นเสื้อแดงและไม่ใช่เสื้อแดงก็คงต้องมาสำรวจความเสียหาย และสำรวจพลังกำลังที่มีอยู่ เนื่องจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมามีข้อเสนอชัดเจน มีเป้าหมายชัดเจน เพื่อทำให้บ้านเมืองมีความเป็นประชาธิปไตย ทำให้เกิดความยุติธรรมในแง่นี้ ถ้าหากว่าแยกแยะให้ชัดเจน ทำให้เห็นให้ชัดเจนว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทิศทางนี้จะยึดมั่นกับสันติวิธี และสรุปบทเรียนที่ผ่านมา การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยก็จะยังดำเนินต่อไปได้ ค่อยๆพลิก ค่อยๆฟื้นขึ้นมา

และก้าวต่อไปที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะผมกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วคือ ก่อนชุมนุมความยุติธรรมของประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย และความไม่ยุติธรรม หลังชุมนุม หลังยุติการชุมนุม ปัญหาของประเทศนี้ นอกจากจะเหมือนเดิมแล้ว ยังแย่กว่าเดิม ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ไม่มีความยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงยังมีเหตุผลผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะยังสามารถรวบรวม กำลังและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อได้

.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน