แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความจริงเรื่อง"ล้มเจ้า" โดยคุณ"จักรภพ เพ็ญแข"

ความจริงเรื่อง “ล้มเจ้า”

ขณะนี้การประโคมข่าว “ล้มเจ้า” ดังจนผิดปกติ เครือข่ายอำมาตย์ในขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องห่วง รัวเสียราวกับวงโยธวาทิต แถมยังมีเสียงแว่วมาจาก “เวทีประชาธิปไตย” ร่วมสนุกกล่าวหาตามแห่ไปกับเขาด้วยว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้คิด “ล้มเจ้า” เหมือนมุ่งจะเอาใจใครบางคน

เวลาเหมือนจะหมุนกลับไปไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี

เสมือนเราทุกคนยังอยู่ในยุคปลุกผีคอมมิวนิสต์ เพียงคราวนี้ใช้มาตรา ๑๑๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาแทนที่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการโบราณที่ทำลายชีวิตและอนาคตของคนบริสุทธิ์ไปมากมายเห ลือคณานับ

แถมใช้อย่างถี่ยิบไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะไปหลงเชื่อคนที่คอยเสี้ยมให้เล่นงานคนนั้นคนนี้ และให้ข้อมูลผิดๆ ว่ามีอยู่ไม่กี่คน ฟันลงไปเถิด

ในที่สุดก็เกิดเป็นกระแส

ความจริงการ “ล้มเจ้า” อย่างจริงจังในประวัติศาสตร์ไทยเคยเกิดขึ้นเพียง ๒ ครั้ง นั่นคือเมื่อคราว “กบฏ ร.ศ.๑๓๐” ซึ่งล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือ “การอภิวัฒน์” ที่เริ่มต้นด้วยท่าทีเด็ดขาด แต่แล้วค่อยๆ ผ่อนท่าทีลงจนกลายเป็นการหารือร่างรัฐธรรมนูญระหว่างกัน หลังจากนั้นก็เกิดกระบวนการฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเรื่อย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกระทั่งทุกวันนี้

รัฐธรรมนูญถาวรกลายเป็นของพระราชทาน แทนที่จะเป็นคณะราษฎร์เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา



ท่าทีสมานฉันท์ อย่างการตั้งรัฐบาลร่วมกันโดยเอาฝ่ายอำมาตย์แท้ๆ อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาเป็นตัวประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) ก็กลายเป็นเปิดทางให้ฝ่ายอำนาจเก่าเขามาเอาอำนาจคืนอย่างดิบๆ ถึงขั้นเนรเทศหัวหน้าคณะราษฎร์สายพลเรือนไปต่างประเทศ ท่านที่เหลือต้องรวมกำลังกันยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งเพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืน มา แต่ก็ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบไม่เหลือซาก

ความจริงเมื่อวันชาติยุคหลังๆ ถูกเปลี่ยนจาก ๒๔ มิถุนายนมาเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ชัดแล้วในเรื่องระบอบ

ทวนความจำเพื่อจะบอกว่า จากนั้นไม่มีความพยายามใดๆ อีกเลย ที่จะพรากสังคมนี้จากสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนอกจากจะปลูกฝังกันอย่างเข้มข้นเกือบทุกวันทุกเวลาแล้ว กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นด้วย ปัจจัยใดๆ จากภายนอกจะเข้ามาโยกหรือสั่นคลอนได้เล่า

เพียงดำรงพระสถานะเดิมและใช้พระราชอำนาจอย่างสมควรแก่เหตุ สถาบันนี้จะอยู่คู่สังคมไทยโดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง

ผมถึงได้สงสัยว่าคนที่เจตนาพูดคำว่า “ล้มเจ้า” นั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่ กำลังดูแคลนศักยภาพของสถาบันจนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองหรือไม่

หรือกำลังระดมฉายไฟเข้าไปยังสถาบัน

ทำให้สถาบันกลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น?

ความจริงพฤติกรรมแกล้งโง่เหล่านี้ เราก็พอรู้อยู่หรอกครับ แต่ผู้ที่อยู่ในสถาบันควรทราบว่า คนที่ชิงเล่นบทจงรักภักดีโดยไม่ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ให้ ได้แต่กล่าวประณามคนอื่นว่าจงรักภักดีไม่เท่าตน หรือสาดคดีหมิ่นฯ เข้าใส่ จนสุดท้ายสถาบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางสังคมแทนนั้น สุดท้ายคือผู้ที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุด

รวมทั้งคนที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายคนอื่นด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” อย่างสามานย์นั่นด้วย

การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหมาะสมคือการอนุวัตรไปตามโลก โดยรักษาแก่นไว้ให้มั่นคง ไม่ใช่ลืมตาตื่นขึ้นก็มองหาว่าใครจะเป็นเหยื่อในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ บ้าง

ความจริงก็คือ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของสถาบัน โดยไม่ได้มุ่งหมายจะโค่นล้มหรือทำอันตรายใดๆ เพราะสามปีที่ผ่านมานี้มีการกล่าวอ้างสถาบันเพื่อการเมืองจนสังคมสับสน หากเปิดโอกาสให้ถามและตอบอย่างวิญญูชน แทนที่จะอ้างกฎหมายหมิ่นฯ มาฟาดฟันกันอย่างที่เป็นอยู่ ว่าเราจะประคองสถาบันให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อย่างไร ผมเชื่อว่าจะเป็นคุณกับประเทศชาติมากกว่า

สั่งให้หยุดพฤติกรรมผลักฝ่ายเดียวกันให้เป็นศัตรูเถิดครับ

มองให้เห็นว่าคนที่จะ “ล้มเจ้า” ตัวจริง ก็คือคนที่อวดอ้างความ “รักเจ้า” จนเกินกว่าเหตุและสร้างผลลัพธ์ในทางกลับกันเถิดครับ

เลิกสนุกสนานกับบทบาท “ผู้เล่น” กลับขึ้นไปเป็น “กรรมการผู้ทรงเกียรติ” ดังเดิมเถิดครับ

ใช้ตัวแทนวัฒนธรรมใหม่อย่างคุณทักษิณให้เป็น เพื่อบริหารบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ทั้งภูมิปัญญาเดิมและ ภูมิปัญญาใหม่ผสมผสานกัน อย่าคิดกำจัดเพียงเพราะคุมโมหะจริตไม่อยู่เลยครับ

ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม

และทำในสิ่งที่ควรทำ

ผมขอตราไว้ตรงนี้ว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ช่วยอะไรสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เลย ความเข้าใจถูกหรือผิดต่อสถาบัน กระทำได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่ด้วยลมปากของใคร แต่ด้วยสิ่งที่คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกเขามองเห็นอยู่จริง

ถ้าตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว อย่าได้หวั่นกลัวสิ่งใด เว้นแต่เงาของตนเอง

เพราะในบ้านนี้เมืองนี้ ผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมมา

จากสถาบันพระมหากษัตริย์เองเท่านั้น.

โดยคุณจักรภพ เพ็ญแข

1 ความคิดเห็น:

  1. บางอย่างก็จริงบางอย่างก็ไม่จริง ขอให้ผู้ที่บริโภคข้อมูลใช้วิจารณญาณในการรับชมรับฟังบางเว๊บไซด์ก็มีการให้ฟอร์เวิร์ส ต่อๆ กันไปและอ้างถึงผลประโยชน์ว่าถ้าท่านรักในหลวงโปรดช่วยกันหรือว่าถ้าไม่โพสไม่ใช่คนไทย ตาม ข้อความเหล่านี้อยากเตือนให้ระวังเพราะบางเว๊บไซด์จะมีผลประโยชน์ต่อองค์กร ธุรกิจจากการส่งข้อความโดยที่ท่านอาจตกเป็นเหยื่อของผู้ที่หาช่องทางลัดนี้ โดยไม่รู้ตัว การ ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินและในหลวงมีหลายวิธีไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอาจเริ่มต้น จากการที่เราจะเป็นคนดีก็ได้ทำงานด้วยความสุจริต ไม่โกงใคร เป็นต้น โปรดตอบแทนบุญคุณแผ่นดินด้วยการช่วยกันรักในหลวงของเรา ท่านเป็นพ่อหลวงของแผ่นดิน

    ตอบลบ

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน