แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประเทศไทยกับการปฏิวัติทหาร(อมาตยาธิปไตย)

ประเทศไทยกับการปฏิวัติทหาร(อมาตยาธิปไตย)

โดย MThaiRed

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิไตยโดยการยึดอำนาจของคณะราษฎร์มา จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัวรัชการที่ 7 การใช้ชื่อคณะราษฎร์มีความเป็นไปได้ว่ามีความต้องการสื่อให้เห็นหรือเข้าใจ ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะหรือตัวแทนของราษฎรหรือประชาชน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือต้องการแนวร่วมและลดแนวต่อต้านของคนที่มีความคิดแตกต่างจากคณะราษฎร์ในขณะนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นความต้องการอำนาจการบริหารแผ่นดินของเหล่าอมาตย์ที่ควบคุมกำลังทหารของประเทศในขณะนั้น

ซึ่งนำโดย

1. พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)

2. พันเอก พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)

3. พันเอก พระยาฤทธิ์อัคเณย์ (สละ เอมะศิริ)

4. พันโท พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://library.stou.ac.th/King7/coFacultyPub.asp

แค่ดูจากชื่อก็คงรู้แล้วว่าคนเหล่านี้หาได้มีราษฎรจริงๆไม่ คนเหล่านี้คือคนที่มีความกระหายอำนาจการปกครองประเทศเป็นที่สุด หลังจากที่มีการยึดอำนาจ ก็มีการสืบทอดอำนาจ ยึดอำนาจ สืบทอดอำนาจ ยึดอำนาจ สืบทอดอำนาจ โดยกลุ่มคนที่เป็นทหารและมีอำนาจทหารอยู่ในมืออย่างนี้อีกหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาประเทศสยามจนมาเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ประชาชนคนไทยแท้ๆไม่เคยได้มีอิสระในการใช้อำนาจปกครองประเทศโดยไม่มีอำนาจ ทหารมาแทรกแซงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผิดกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่อำนาจทาง ทหารจะไม่เข้ามาก้าวก่ายการเมืองเลย อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ ไม่เห็นเขาถือปืนออกมาปฏิวัติกันเหมือนเมืองไทยที่ทำกันเป็นว่าเล่นจนถนนราชดำเนินมีแต่รอยรถถัง

บทบาททหารกับการเมืองของประเทศไทยถูกจารึกมา ตั้งแต่การเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องที่สุดก็คือเราได้มีการปกครองที่ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย เฉพาะชื่อเท่านั้น แท้จริงแล้วเรามีการปกครองภายใต้อำนาจทหารหรืออำมาตยาธิปไตยมาตั้งแต่เริ่ม ต้น ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งบางคราที่ทหารอ่อนแรงลงจากการต่อต้านของประชาชน แต่อำนาจการบริหารหรืออำนาจในการปกครองจริงๆนั้นยังไม่เคยขาดหายไปจากมือของ ทหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับรัฐบาลนั้นๆว่ามีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทาง ทหารก็เท่านั้น

ดังนั้นประชาธิปไตยของประเทศไทยจึงเป็นเหมือนกับพืช ล้มลุกที่ถูกปลูกแล้วถอน ปลูกแล้วถอน ปลูกแล้วถอน อย่างไม่มีวันจบสิ้น อำนาจในการตัดสินรัฐบาลไม่ได้อยู่ในมือของประชาชนเพียงอย่างเดียว ทหารได้ใช้อำนาจที่ตนเองมีในทิศทางที่สวนทางกันกับประชาธิปไตยมาโดยตลอดจนมา ถึงปัจจุบัน

รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ถูกโอบอุ้มโดยทหารได้พยายามยื้อตัวเองอย่างสุดกำลัง เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ เพราะนั่นหมายถึงว่าตนเองจะต้องแพ้การเลือกตั้งอย่างแน่นอนและอำนาจทหารก็จะ อ่อนแอไปด้วย แต่จะหมดไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในอำนาจและหน้าที่ของคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

การต่อสู้ของประชาชนที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันต้องบอกว่าเราไม่เคยชนะอำนาจการปกครองของอมาตย์ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว การที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ชื่อย่อ คมช ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลท่านนายกทักษิณ และแต่งตังรัฐบาลขิงแก่ของพลเอก สุรยุทธ ขึ้นมาเพื่อวางแนวทางการสืบทอดอำนาจให้พรรคประชาธิปัตต์เข้ามาบริหารประเทศ ต่อเพราะเป็นพรรคที่อมาตย์พอใจที่จะให้ปกครองประเทศต่อ จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้วก็เหมือนกับการที่ทหารแย่งเอาอำนาจการปกครองกับใครก็ ได้รัฐบาลไหนก็ได้และจะยัดเยียดให้ใครก็ได้ที่จะทำการบริหารต่อตามที่ตนเองต้องการ ซึ่งเป็นการขัดขวางเจตนารมย์ที่แท้จริงของการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย แต่เดชะบุญ ณ ขณะนั้นประชาชนที่เคยได้สัมผัสกับการเมืองที่มีผลต่อชีวิตของเขา จึงทำให้แผนการยกอำนาจการปกครองให้พรรคการเมืองไดๆเป็นอันต้องพังสลายไป

ครับ มาถึงตรงนี้ นี่คือจุดที่มีความแตกต่างของการปฏิวัติกาเมืองไทยในทุกๆครั้งที่ผ่านๆมา เพราะเสียงส่วนใหญ่เป็นผู้ได้กำหนดทิศทางและเป้าหมายของพวกเขาต่อต้านการใช้ อำนาจการปกครองอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยของทหาร นี่คือแสง นี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ในบริบทใหม่ของเส้นทางประชาธิปไตยของเมืองไทย เราจะต้องไม่ยอมให้แสงแห่งความหวังครั้งนี้ของเราหรี่ไปเป็นอันขาด จะต้องต่อเติมเชื้อไฟให้พร้อมที่จะเผาใหม้อำนาจการปกครองของอมาตยาธิไตยให้ หมดไปจากผืนแผ่นดินไทย

รัฐบาลของนายกอภิสิทธิ์นี้ไม่ได้รับความชอบธรรม ทั้งโดยกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมและการได้อำนาจโดยการหนุนนำจากอำนาจทหารของอมาตยาธิปไตยจะอยู่ได้อีกไม่นานแม้จะมีความพยายามในการที่จะยื้อเพื่อให้ตน เองอยู่ในอำนาจการปกครองมากที่สุดก็ตาม แต่สิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงและต่อสู้ก็คืออำนาจของอมาตย์ยังไม่ได้ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นและแสดงอำนาจบาตรใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าใครต่อใครต้องสยบ ให้ และจะได้รับการทำลายถ้าทำตนเป็นปฏิปักษ์

ขอเราชาวเสื้อแดง จงสู้เพื่อแสงแห่งชัยนั้น จงแผ่ความร้อนอันแรงกล้าของผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายเผาใหม้อมาตยาธิปไตย อย่างอดทนและยาวนานให้สิ้นซากจากผืนแผืนดินไทย เพื่อความวัฒนาถาวรของประชาธิปไตยของประเทศนี้

เพื่อลูกเพื่อหลานเราในอนาคตจะได้ไม่ต้องมาเจอกับการปฏิวัติทหารซ้ำแล้วซ้ำอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน