โดย โตรอนโตสตาร์
บ๊อบ อัมสเตอร์ดัม ก้าวลงจากรถไฟและมุ่งหน้าไปยังกระท่อมหลังเล็กในชนบทของประเทศอังกฤษ ที่เป็นสำนักงานของบริษัทรถแท็กซี่ท้องถิ่นที่เขาจะเช่ารถ — ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อขนสัมภาระ
มันเป็นคืนที่หนาวเหน็บและแขกชาวอเมริกันแวะมาเพื่อเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระ เจ้า แต่ก่อนที่จะรับประทานไก่งวงและลูกแครนเบอร์รี่ อัมสเตอร์ดัม ผู้มีอาชีพเป็นทนายความตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า บนเนินเขาและตามทางเดินที่สองข้างทางเป็นแนวพุ่มไม้เสียก่อน
หลังจากที่สัมภาระของเขามาถึงได้ไม่นาน เขาก็มาถึงบ้านสองชั้นที่แสงแดดสีเหลืองนวลทอดลงที่หน้าต่างและสูกสาวฝาแฝด วัย 9 ขวบของเขากำลังเล่นกันอยู่ชั้นบน
ชีวิตของอัมสเตอร์ดัมอาจดูเหมือนชีวิตของพวกผู้ดีที่อยู่ในชนบท แต่รูปลักษณภายนอกอาจทำให้เข้าใจผิดได้ ก่อนอื่นเลย อัมสเตอร์ดัม เป็นชาวแคนนาดา อายุ 54 ปี มีพรสวรรค์ในการเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองร้อนๆ อย่างเช่น เรื่องการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ เมื่อฤดใบไม้ผลิที่แล้ว ที่ซึ่งเขาพยายามไกล่เกลี่ยความขัดแย้งรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงต่อต้าน รัฐบาลและทหารไทย
เขาอาจเป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวที่จบจากโรงเรียนกฎหมายออนทาริโอแล้วจ้างอดีต ทหารหน่วยคอมแมนโดอากาศสัญชาติอังกฤษมาเป็นบอดี้การ์ดก็เป็นได้
“ผมไม่คิดว่าจะมีระบอบปกครองใดในโลกนี้ที่ชื่นชอบคนอย่างเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกประเทศที่มีระบอบกึ่งเผด็จการ” ปีเตอร์ โซโลมอน นักรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโตกล่าว
ในปี พ.ศ. 2548 อัมสเตอร์ดัมถูกขับไล่ออกจากกรุงมอสโคหลังจากที่มีชาย 5 คนมาเยี่ยมเขาถึงที่โรงแรมในยามวิกาลและยึดเอาหนังสือเดินทางของเขาไป
ในตอนนั้น เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมทนายฝ่ายจำเลยในการพิจารณาคดีครั้งแรกของมหา เศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย มิคคาอิล โคดอร์คอฟสกี้ ผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงและหลีกเลี่ยงภาษีและถูกเนรเทศให้ไปอยู่ ที่เรือนจำไซบีเรียนเป็นเวลา 8 ปี (ข้อหานี้ถูกเพิ่มโทษเป็น 14 ปีเมื่อโคดอร์คอฟสกี้ถูกตัดสินว่ามีความผิดภายหลังมีการรื้อคดีมาพิจารณา ใหม่เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม)
ความคิดเห็นของอัมสเตอร์ดัม ที่ว่าคดีนี้เป็น “การพิจารณาคดีแบบหลอกๆ ที่น่ารังเกียจ” แทบจะไม่ต่างจากสิ่งที่รัฐบาลของประเทศโลกตะวันตกได้พูดเอาไว้ แต่ทว่าความเห็นของเขาไม่ได้เป็นที่ชอบใจของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน
รายชื่อลูกค้าที่เป็นคนเด่นดังมีชื่อเสียงของเขามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้รายชื่อลูกค้าคนสำคัญของเขามีทั้งผู้นำฝ่ายค้านประเทศสิงค์โปร์ ชีซุนจวนและอดีตรัฐมนตรีของประเทศไนจีเรีย นาซีร์ เอล-รูฟไฟ ทั้งคู่กำลังเผชิญกับการถูกจองจำในข้อหาที่ใครหลายๆ คนเรียกว่าการดำเนินคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง
อัมสเตอร์ดัมชอบไปประเทศที่กำลังพัฒนาที่ที่หลักนิติธรรมมักจะไม่มีอยู่ จริงและเป็นที่ที่มีความพยายามที่จะกักขังผู้นำทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่า ต้องรับผิดต่อการใช้อำนาจในทางมิชอบซึ่งบ่อยครั้งที่เป็นเรื่องของการประโคม ข่าว
เข้ามีชื่อติดอยู่ในรายชื่อทนายความ 100 คนที่ “มาแรง” ในสหราชอาณาจักร ที่ที่เป็นบ้านของเขามามากว่า 10 ปี The Times of London ให้เขาเป็นทนายความยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์
แม้ว่าเขาจะมีปะวัติว่าความในประเทศต่างๆ แต่กลับไม่มีใครรู้จักเขาที่แคนาดา
ทนายความผู้ที่เริ่มต้นอาชีพของเขาด้วยการเป็นตัวแทนว่าความให้กับคนขับ รถลีมูซีนในโตรอนโตในการถกเถียงเรื่องใบอนุญาตสุดท้ายมาว่าความให้กับลูก ค้าที่ศัตรูเป็นพวกถือปีนอาก้า AK-47 ไปได้อย่างไร?
บ่อน้ำแร่เก่าแก่ในเชคโกสโลวาเกีย นักแสดงสาว ซอนย่า สมิทส์แห่ง Street Legal และสุนัขสายพันธ์ฮังกาเรียนที่ชื่อ Jansci ต่างก็เป็นส่วนหนึงของประวัติชีวิตของอัมสเตอร์ดัม
เมื่อสองสามปีก่อน อัมสเตอร์ดัมกำลังอยู่บนเครื่องออกกำลังกายตอนที่เขาได้รับโทรศัพท์จากชาย ที่ชื่อ ไมเคิล คาโปวสติน คนที่อ้างว่าโทรมาหาเขาจากห้องน้ำในคุกที่โซเฟีย ประเทศบัลเกเรีย
คาโปวสตินเติบโตในโตรอนโตแต่ย้ายไปอยู่ที่บัลเกเรียหลังจากที่ระบอบ คอมมิวนิสต์ล่มสลายและได้ทำธุรกิจหลายอย่างที่นั้น แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหากับนักการเมืองและกลุ่มอาชญากร เขาถูกตัดสินให้มีความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกเงิน ความผิดนี้ทำให้เขาต้องติดคุกถึง 17 ปี
การได้รับการปล่อยตัวและเดินทางกลับประเทศแคนาดาในปี พ.ศ. 2551 ของเขาได้รับการประกันออกมาโดยบริษัทกฏหมายของอัมสเตอร์ดัม
เพอรอฟเพื่อนร่วมชั้นเรียนของอัมสเตอร์ดัมที่โรงเรียนสอนกฤหมายเปิดสำนัก งานอยู่ที่โตรอนโตและอัมสเตอร์ดัมทำงานจากประเทศอังกฤษ ที่ที่เขาอาศัยอยู่กับภรรยาคนที่สามโม แฮรริสันกับลูกๆ อีกสามคน อัมสเตอร์ดัมมีลูกชายที่โตแล้วอีกสองคนกับภรรยาคนแรก เขาไม่ต้องการให้มีการตีพิมพ์ที่อยู่ของเขาเพราะเขาเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อ ลูกๆ ของเขา
เขามีสำนักงานอยู่ในลอนดอน เมืองที่ถือว่าเป็น “ประตูหน้าด่าน” และ “ศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่”
“ที่นี่คุณสามารถเจอคนที่มาจากทุกประเทศได้ง่ายมากๆ”
ดูเหมือนว่าเขามาถึงที่นั่นโดยการล่าตามความฝันวัยหนุ่มของเขา
อัมสเตอร์ดัมเป็นลูกคนเล็กที่สุดและเป็นลูกชายเพียงคนเดียวในบรรดาลูก ทั้งสามคน เขาเกิดในเมืองไวท์ เพลน นิวยอร์ก พ่อของเขา อเล็กซานเดอร์ รอส เป็นผู้นำทางด้านธุรกิจพลาสติก คนที่จดสิทธิบัตรตารางหมากรุกขนาดพกพา เสียชีวิตตอนที่อัมสเตอร์ดัมมีอายุเพียง 6 เดือน
แม่ของเขาแต่งงานใหม่กับช่างทำหมวกผู้หญิง แซม อัมสเตอร์ดัม เขาพาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ออตตาว่า เมื่อตอนที่เขาไปทำงานให้กับห้างฟรีแมนเป็นห้างสาขาของออนทาริโอ เมื่ออัมสเตอร์ดัมอายุได้ 12 ปี
หลายปีต่อมา วิโอเล็ต แม่ของอัมสเตอร์ดัมเดินทางไปที่เช็คโกสโลเวเกียบ่อยครั้งเพื่อไปรักษาอาการหอบหืดเรื้อรังที่บ่อน้ำแร่
“พูดตรงๆ เราไม่เข้าใจว่ามันจะรักษาอาการป่วยได้อย่างไร” เขาพูด “แต่การแช่บ่อน้ำแร่ทำให้บางคนพยุงอาการเป็นโรคหอบหืดได้”
อัมสเตอร์ดัมเดินทางไปกับแม่บ่อยๆ และเดินทางไปท่องเที่ยวคนเดียวต่อไปยังประเทศฮังการีและสหภาพโซเวียต
“ผมเป็นพวกบ้าการเมือง” เขาพูด, “ดังนั้นมันก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะใช้เวลาช่วงหน้าร้อนนี้ที่ประเทศโซเวียต”
ตอนที่อัมสเตอร์ดัมอยู่เกรด 11 ที่โรงเรียนมัธยม Woodroffe ในออตตาว่า เขากลายมาเป็นพวกเรียกร้องทางการเมืองซึ่งทำให้เขามีเพื่อนมากและก็ทำให้เขา มีปัญหาด้วย
นักแสดงที่ชื่อซอนย่า สมิทส์ โด่งดังจาก Street Legal ซึ่งตอนนี้เป็นประธานคณะกรรมการที่
กลุ่มนักเรียนเดินประท้วงผ่าน Parliament Hill ไปยังสถานทูตอเมริกาที่ที่เจ้าหน้าที่การทูตอาวุโสเชิญให้เขาเข้าไปดื่มโค๊กข้างใน
นั่นมันก็นานมากแล้ว
“เราปฎิเสธไม่ดื่มโค๊กเพราะเรามีจุดยืน” สมิทส์พูด กลุ่มนักเรียนเข้าไปข้างในสถานทูตและอธิบายถึงความกังวลใจต่างๆ
แม้กระทั่งตอนที่เป็นวัยรุ่น อัมสเตอร์ดัมเป็นคนที่ “ฉลาดเป็นกรด พูดจาฉะฉานและจริงจัง” เธอพูด “เขาเป็นผู้นำที่แท้จริงและเขาเป็นคนอบอุ่น”
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ประทับใจในตัวเขา
อัมสเตอร์ดัมถูกพักการเรียนที่โรงเรียนมัธยมหลังจากหนังสือพิมพ์ประจำ โรงเรียนที่เขาเรียบเรียงได้ไปสัมภาษณ์แอบบี้ ฮอฟแมนนักเรียกร้องทางการเมืองและเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค Youth International (“Yippie”) Party ตีพิมพ์คำแนะนำของฮอฟแมนในการโจมตีครูใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่ง
อัมสเตอร์ดัมเกือบจะต้องออกจากโรงเรียน แซม พ่อของเขาหันเหความสนใจในเรื่องการเมืองของเขาไปยังเรื่องการศึกษาโดยการ สมัครเข้าเรียนรัฐศาตร์ให้เขาช่วงฤดูร้านที่มหาวิทยาลัยคาร์เลอตัน รวมทั้งลงทะเบียนวิชาระบอบคอมมิวนิสต์ในประเทศจีนและประเทศรัสเซียให้เขาอีก ด้วย
อัมสเตอร์ดัมเคยคิดว่าเขาอาจจะเป็นอาจารย์สอนวิชารัฐศาสตร์ได้ แต่เขาก็ไม่เคยได้เป็น
เขาเล่าว่าพวกพี่สาวคนโตของเขา “เจ้ากี้เจ้าการเป็นอย่างมาก” กับการวางแผนชีวิตให้กับเขา จูดี้เป็นทนายความและเธอเป็นคนสมัครสอบเข้าโรงเรียนกฎหมายให้กับเขา
ไม่นานนัก อัมสเตอร์ดัมก็เดินตามรอยพี่สาวเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยควีน
อัมสเตอร์ดัมมาถึงที่มหาวิทยาลัยควีนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี พ.ศ. 2518 โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะเรียนกฤหมายเลย เขาใช้เวลาน้อยมากๆ อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยจนกระทั่งตอนที่เขาเรียนจบเพื่อนๆ มอบโปสการ์ดรูปเมืองคิงส์ตันให้เพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาพลาดอะไรไปบ้าง
แทนที่จะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเดียว เขากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกไปประเทศไนจีเรีย ช่วงเวลาที่ประเทศไนจีเรียกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางการ เมืองซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันตกและเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร
อัมสเตอร์ดัมบอกว่า “เราพยายามขายอะไรก็ได้ที่เราคิดว่าน่าจะขายได้ไปยังประเทศไนจีเรียโดยเฉพาะในช่วงวิปโยคนี้”
ทอม ฮุสตัน หุ่นส่วนผู้จัดการที่ Fraser Milner Casgrain LLP ในออตตาวาจำได้ถึงตอนที่เขากลับมายังบ้านที่มีห้องนอน 4 ห้องที่พวกเขาเช่าไว้ในย่านนักศึกษาของคิงส์ตันและเห็นอัมสเตอร์ดัมคุย โทรศัพท์พร้อมกับมีถ้วยกาแฟหลายใบที่กินหมดเพียงครึ่งเดียวเรียงรายระเกะ ระกะทั่งห้องนั่งเล่น
Jansci สุนัขพันธ์ฮังกาเรียนพูลี่ที่มีขนพันเป็นเกลียวยาวนั่งอยู่บนเครื่องบันทึกเทป สุนัขตัวนี้เป็นของพ่อแม่ของอัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัมไม่ได้สังเกตว่าขนสุนัขกระจัดกระจายอยู่ทั่วบ้าน
ฮุสตันพูดว่า “บ๊อบเป็นคนที่ whirling dervish” “ในหนึ่งนาทีสมองของบ๊อบคิดได้เป็นร้อยล้านเรื่อง”
พอเรียนจบอัมสเตอร์ดัมก็คิดได้ว่าเขาต้องทำงานหารายได้ เขาเลยลองอาชีพทางด้านกฎหมาย
เขากับเพอรอฟเปิดสำนักงานในโตรอนโต บนถนนเซนต์แพตทริค ย่าน Village by the Grange ด้วยกัน และมีแรงบันดาลใจที่จะว่าความในระดับ “สากล”
แต่ตอนที่เริ่มใหม่ๆ พวกเขาได้ว่าความให้กับคดีอาชญากรรมบ่อยๆ พวกเขาเป็นทนายตัวแทนให้กับร้าน Treble Clef ร้านสาขาที่ขายแผ่นเสียงมีสาขาใหญ่อยู่ในออตตาวาและคนขับรถลีมูซีนที่สยาม บินโตรอนโตในคดีใบอนุญาติ
คดีต่อต้านการผูกขาดข้ามพรมแดนทำให้ทั้งอัมสเตอร์ดัมและเพอรอฟไปถึงเมือง นิวยอร์ก ลูกค้ารู้จักพวกเขาจากวิธีปากต่อปาก ลูกค้าบางคนก็มาหาอัมสเตอร์ดัมผ่านทางเพื่อนๆ ที่เขารู้จักตอนเดินทาง
ในขณะงานของเขาทำให้เขาได้เดินทางไปทั่วโลก เขากับเพอรอฟไม่ได้มีใบอนุญาตที่สามารถใข้ในการว่าความในหลายประเทศที่พวก เขาไปเยือน แต่เขาบอกว่าพวกเขาเพียงแค่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและช่วยแนะนำลูกค้านอก ประเทศแคนาดา ซึ่งรวมไปถึงลูกค้าที่เป็นบริษัทขุดเหมืองและบริษัทอื่นๆ พวกเขายังหาทนายความท้องที่ที่มีความเชี่ยวชาญพอที่จะเป็นตัวแทนให้กับพวก เขาในการว่าความในศาลหรือต่อหน้าอนุญาโตตุลาการ
นอกเหนือจากการเป็นนักลงทุน อัมสเตอร์ดัมยังเป็นนักเขียนบล็อกที่บันทึกเป็นประจำ เขาเขียนบล็อกทุกวันที่เกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในรัสเซีย แอฟริกา และเอเชีย และความคิดเห็นที่วิพากษ์วิตารณ์ระบอบการปกครองที่กลั่นแกล้งลูกความของเขา
อีกนัยหนึ่งคือ ศาลของเขาเป็นศาลที่รับฟังความเห็นของสาธารณะชน
คนที่ทำงานกับเขาและเคารพเขาอย่างอัมสเตอร์ดัมมองว่าเขาเป็นคนฉลาดและ เห็นอกเห็นใจและกล้าพูดกล้าทำ คนที่เขียนว่าเขาในชุมชนชาวบล็อกเรียกเขาว่าเป็นกระบอกเสียงให้กับลูกค้าและ ตั้งคำถามที่เป็นการแก้ต่างเพื่อผลประโยชน์ให้กับทางเขาเอง
นอกเหนือไปจากนั้น โคดอร์โคฟสกี้ผู้ที่เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศรัสเซียได้รับโทษจำ คุก 8 ปีหลังจาดที่เขาขึ้นศาลในปี พ.ศ. 2548
อัมสเตอร์ดัมเรียกนักวิจารณ์เหล่านี้ว่าเป็นพวก “เพี้ยน”
“ถ้ามีใครคิดว่าผมเข้ามาทำตดีนี้แล้วคิดว่า ‘ผมจะต้องปล่อยคนๆ นี้ให้เป็นอิสระภายใน 6 เดือนให้ได้’ พวกเขาก็บ้าแล้ว เราเข้ามาศึกษาคดีเพราะเรารู้ว่ามันมีข้อพิพาททางการเมืองและเราจะทำ ทุกอย่างเท่าที่เราทำได้เพื่อที่จะบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์”
“ผมบอกความจริงเลยว่า มิคคาอิล โคดอร์โคฟสกี้ ยังมีชีวิตอยู่ ในวุฒิสภาอเมริกาเขาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอัศวินแห่งกฎหมาย เราสู้กับรัสเซียที่พยายามจะป้ายสีเขาว่าเป็นอาชญากร และในเรื่องนั้น เราประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะประชาชนตระหนักได้ว่าเขาเป็นเหยื่อของระบบ ที่ขี้ขลาด”
แซนดี้ ซอนเดอร์ นักกฎหมายชาววอชิงตัน ดีซี ที่อยู่ในทีมทนายเดียวกันกับทีมของโคดอร์คอฟสกี้ กล่าวว่าไม่มีใครเชื่อว่าความพยายามของพวกเขาว่าจะส่งผลให้มีการตัดสินว่า ไม่มีความผิดในชั้นศาล ผลการตัดสินนี้มันได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
เขาพูดว่างานของทนายฝ่ายจำเลยคือการแสดงให้คนทั่วโลกเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมในข้อกล่าวหาเหล่านี้
ซอนเดอร์ช่วยรวบรวมหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าโคดอร์คอฟสกี้บริสุทธิ์ ในขณะที่อัมสเตอร์ดัมรับหน้าที่เแก้ต่างในฐานะที่เป็นทนายฝ่ายจำเลย
“ฉันบอกได้เลยว่าเขาเป็นยิ่งกว่าพวกทำสงครามศาสนา” ซอนเดิร์กล่าว แต่ในขณะที่อัมสเตอร์ดัมใช้เวลาอย่างมากในการพูดโจมตีเพื่อสร้างความกดดัน “มันสำคัญมากที่ผมจะกล่าวว่า ผมไม่ใช่ทนายฝ่ายสิทธิมนุษยชนเพราะผมไม่เชื่อในสิทธิมนุษยชนว่าเป็นเสมือน กับศาสนา”
เขาพูดว่ามีทนายหลายต่อหลายคนที่พูดว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิ มนุษยชนเพราะพวกเขาเคยไปที่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปแก้ต่างคดีต่อหน้าศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปแต่มีทนายอยู่ ไม่กี่คนที่เป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนจริงๆ ในโลกใบนี้และพวกเขาก็อยู่บนดิน อยู่ที่ต่างๆ เช่นที่ประเทศไฮติ
เขาพูดเสริมอีกว่า “ผมเป็นแค่ทนายความธรรมดาๆ ที่ทำงานหาเพื่อองค์กรธุรกิจและคนทั่วไปและทำงานโดยไม่ได้หวังค่าตอบแทน”
อัมสเตอร์ดัมจ้างพ่อครัวร้านอาหารอิตาเลี่ยนมาทำอาหารเย็นสำหรับวันขอบคุณ พระเจ้าให้กับครอบครัวและแขกในงานของเขา — ไม่มีอะไรเล็กเกินไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยกับพายฟักทอง เช้าวันต่อมาเขาเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยลี้ดส์เพื่อไปพูดบรรยายร่วมกับผู้ เชี่ยวชาญในหัวข้อประเทศไทย
บริษัทของอัมสเตอร์ดัมเตรียมยื่นคำร้องเรียนไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศในนาม ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อร้องขอให้ศาลตรวจสอบรัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ในเรื่องอาชญากรรมต่อ มนุษยชาติเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่แล้วเมื่อรัฐบาลเปิดฉากยิงใส่กลุ่ม ผู้ประท้วงที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายพรัฐมนตรีของประเทศไทย ผู้ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งจากการทำรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางกฎหมายต่างๆ
เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้วทักษิณ ชินวัตรได้ติดต่อมาหาอัมสเตอร์ดัมและมีการจัดเตรียมให้ทนายความผู้นี้เดิน ทางไปยังประเทศไทยเพื่อไปช่วยไกล่เกลี่ยหาทางออกให้กับภาวะตรืงเครียดที่มี อยู่ในขณะนั้น
“สิ่งที่เกิดขี้นคือรัฐบาลไม่ต้องการเจรจา” เขาพูดห้วนๆ “สิ่งที่รัฐบาลต้องการคือการเข่นฆ่าประชาชนให้ตายบนถนนนี่แหละ”
นั่นรวมถึงการยิงผู้รักษาพยาบาลเสียชีวิตถึง 3 รายภายในบริเวณวัด อัมสเตอร์ดัมบันทึกว่าภาพที่เห็นมือปืนลอบยิงผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ “จะตามหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต”
โซโลมอนพูดว่า ไม่ต้องสงสัยเลยที่เขามักจะเหยียบย่างเข้าไปพื้นที่ที่มันอันตราย ที่ที่มี “พวกมีอัตตาสูงๆ เดินเพ่นพ่านอยู่”
เขาเสริมว่า “ชีวิตเขาอยู่ในความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด”
และเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจจริงๆ ก็คือ เดือนที่แล้ว อัมสเตอร์ดัมกลับไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยโตรอนโตโดยได้รับคำเชิญจากนักรัฐศาสตร์ ผู้ที่อยากได้ยินคำบอกเล่าประสบการณ์ตรงจากคดีที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้อง
คดีล่าสุดเป็นคดีที่ทำในประเทศคีร์กีซสถานแต่อัมสเตอร์ดัมยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้
แต่พูดแค่ว่ามีปัญหาช่วงปลายเดือนก่อนเล็กน้อย รัฐบาลประเทศคีร์กีซสถานจับกุมตัวและส่งตัวล่ามแปลภาษาของเขาออกนอกประเทศไป
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น