แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สมัชชาสังคมก้าวหน้า:สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112

Sun, 2011-04-24 08:19

สมัชชาสังคมก้าวหน้า

จากกรณีที่กลุ่มนิติราษฎร์ได้แจ้งสารถึงผู้อ่านว่าจะมีการแถลงข่าวเรื่อง "ผล กระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการ : กรณีการอภิปรายเรื่อง สถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 ของ ดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" โดยจัดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2554 ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็คงชวนให้หลายคนที่ได้รับข่าวรู้สึกตระหนก และตั้งคำถามว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์สมศักดิ์และแวดวงวิชาการกันแน่?

เมื่อทบทวนถึงหัวข้อที่จะมีการแถลงข่าว ในไม่ช้าก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการอภิปรายทางวิชาการ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ แต่จะถึงขั้นถูกเล่นงานด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 หรือไม่นั้น ยังคงต้องรอฟังการแถลงข่าวจากกลุ่มนิติราษฎร์และอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าในการอภิปรายครั้งนั้นจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และเป็นการพูดที่เป็นไปตามหลักเสรีภาพทางวิชาการตามที่รัฐธรรมนูญรองรับไว้ ก็ตาม

หากแต่ในบริบทของสังคมไทย ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอุดมการณ์แบบรอยัลลิสต์ ดังที่นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ได้อภิปรายในงานเสวนาครั้งก่อนว่า แม้บางครั้งกฎหมายจะเขียนไว้ดีเพียงใดก็ตาม หาก ผู้ใช้กฎหมายยังคงตีความด้วยอุดมการณ์แบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การใช้กฎหมายนั้นก็จะยังคงทำให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์อยู่ดี

กรณีครั้งนี้ ก็คงจะไม่ต่างกันนัก แม้ว่าการอภิปรายเรื่องสถาบันกษัตริย์จะทำอย่างรัดกุมภายใต้กฎหมายรัฐ ธรรมนูญที่รองรับสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ หากแต่ตัวกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ม. 112 ก็มีปัญหาในตัวเองอยู่แล้ว เพราะใครก็สามารถเป็นผู้ฟ้องร้องก็ได้ รวมไปถึงบรรยากาศทางสังคมที่ฝ่ายรัฐ อย่างประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและพลพรรคทหารในสังกัดที่ดาหน้าตบเท้าออกมาสำแดงอำนาจอ้าง ว่าปกป้องสถาบัน โดยวิธีการข่มขู่กล่าวหาหลายฝ่ายว่าเป็นผู้ไม่จงรักภักดี และพร้อมจะปฏิบัติการใช้อำนาจได้ทุกเมื่อ ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ จึงดูเหมือนว่าจะยิ่งหนุนส่งให้การกล่าวหาต่อนักวิชาการที่อภิปรายถึงสถาบัน กษัตริย์อยู่ในข่ายการกล่าวหาดังกล่าวได้ง่ายยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม บทบาททหารในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย การใช้อำนาจข่มขู่กล่าวหาประชาชนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอจนคิดได้ว่า พฤติกรรมดังกล่าวได้กลายเป็นแบบแผนวัฒนธรรมอันดีงามของไทยไปเสียแล้ว ซึ่ง เราคงไปหวังให้ทหารไทยมีสำนึกเคารพประชาชนอันเป็นที่มาของอำนาจอธิปไตย และเลิกพฤติกรรม เบ่งดังที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ได้ เพราะมันคงเป็นสันดานอย่างหนึ่งของฝ่ายที่มีอาวุธอยู่ในมือ

แต่ที่เราต้องการเรียกร้องต่อกรณี ผลกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการที่เกิดขึ้นล่าสุดกับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ไม่ว่าผลที่เกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นอย่างก็ตาม คือ การเรียกร้องกับประชาคมวิชาการด้วยกัน ไม่ว่าเขา/เธอจะสังกัดในศาสตร์สาขาใด สังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอื่นๆ ประชาคมวิชาการควรจะต้องร่วมยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เพราะหากปล่อยให้เกิด การคุกคามแม้แต่ในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นวิชาการอย่างยิ่งแล้ว เราคงไม่อาจคาดหวังได้เลยว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไปจะไม่ถูกคุกคาม

ทั้งนี้ในความเป็นจริง ก็อย่างที่ปรากฏในหลายกรณีแล้วว่ามีประชาชนธรรมดาที่ถูกคุกคามจากกฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ม.112 นี้ อย่างไม่เป็นธรรมมาแล้วหลายต่อหลายราย ดังกรณีการพิจารณากรณีปิดลับของคุณดารณี ชาญเชิงศิลปกุลหรือ ดา ตอปิโดเป็นต้น แต่ก็ยังคงมีแต่ ความเงียบจากประชาคมวิชาการทั่วประเทศเรื่อยมา นี่เป็นความจริงของสังคมไทยที่การเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นสถาบันกษัตริย์ เป็นสิ่งที่หลายคนหวาดหวั่น แม้แต่ในแวดวงวิชาการเอง การนำเสนออภิปรายอย่างตรงไปตรงมาตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเย็นยิ่ง

ท่ามกลางความเงียบ แต่เรายังคงหวังว่า นักวิชาการปัญญาชนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการอาวุโสที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนในสังคมวงกว้าง จะได้หันมาสนใจต่อปัญหาการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย และปัญหาอันเกิดจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ม.112 ซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์หลักในระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิงมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอในการอภิปรายเกี่ยวกับสถาบัน กษัตริย์ของสมศักดิ์ก็ตาม เพราะการเคารพความคิดเห็นต่างถือเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ ต้องยอมรับความแตกต่างในการแสดงความคิดเห็นได้

ในกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ การยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพทางวิชาการของกลุ่มนิติราษฎร์และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในแง่หนึ่งจึงเป็นคำถามต่อบทบาทของนักวิชาการในสังคมไทย และอาจจะเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญต่อประชาคมวิชาการทั้งหมดว่า พวกเขาจะยังทน นิ่งเฉยต่อการที่รัฐไทยใช้อำนาจละเมิดเสรีภาพประชาชนได้ต่อไปอีกหรือไม่ หาไม่เช่นนั้นแล้วการจัดเสวนาอภิปรายทางวิชาการในสังคมไทย ก็คงจะไม่มีใครเชื่อได้อีกว่าจะเป็นกิจกรรมที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ อย่างมีเสรีภาพอีกต่อไป และนักวิชาการไทยทั้งหลายก็ควรสำเหนียกได้ต่อคำกล่าวหาโจมตีว่าไร้กระดูกสันหลังและ ฉวยโอกาสนั้นเป็นจริงทีเดียว

จากบทความเดิมชื่อ: การละเมิดเสรีภาพกับบทพิสูจน์ความ มีกระดูกสันหลังของประชาคมนักวิชาการ ปัญญาชนไทย: กรณีสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112

http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/34196

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน