แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โอกาสรัฐประหาร โดย กาหลิบ



เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง โอกาสรัฐประหาร

โดย กาหลิบ

มีผู้คนที่วิตกกังวลถามเสมอว่าจะเกิดการยึดอำนาจในเมืองไทย แบบที่เรียกว่ารัฐประหารกันอีกหรือไม่ในเร็ววันนี้

สังเกตจากสีหน้าท่าทางของผู้ถาม ยากที่จะบอกว่า ถามเพราะอยากให้เกิดหรือกลัวว่าจะเกิดขึ้นกันแน่

เอา เป็นว่ามวลชนจำนวนไม่น้อยยังคงคิดว่าการรัฐประหารโดยฝ่ายเขา (ฝ่ายประชาธิปไตยขาดเครื่องมืออันจำเป็นที่จะทำในขณะนี้) จะทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง และอย่างน่ากังวลห่วงใย จนอาจทำให้เกิดสภาพที่คาดเดาไม่ได้อีกต่อไปว่าอะไรจะตามมาในฐานะผลกระทบ

มาลองวิเคราะห์กันสักหน่อยเป็นไร

อำนาจ ด้านกายภาพของการรัฐประหาร อยู่ในมือของผู้บัญชาการทหารบกเป็นส่วนใหญ่ เพราะองค์ประกอบอันจำเป็นต่อการรัฐประหารจนกระทั่งทุกวันนี้ คือกำลังทหารราบและยุทโธปกรณ์ทางบกมากกว่าอย่างอื่น ศักยภาพในการยึดเมืองของกองทัพบกจึงสูงกว่ากองทัพเรือ กองทัพอากาศ ตำรวจ และแม้กระทั่งหน่วยทหารพิเศษ อย่างเทียบกันมิได้ ยิ่งทหารในหน่วยสงครามพิเศษของไทยขึ้นอยู่กับกองทัพบกอย่างนี้ด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยว่าหน่วยงานอื่นๆ จะยึดอำนาจรัฐได้ด้วยกำลัง

แต่ ปัญหาคือความอยู่รอดหลังการรัฐประหารนั่นเอง โดยเฉพาะเมื่อเอา ชนะได้ด้วยกำลัง จนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้สำเร็จสมดังเจตนา ผู้บัญชาการทหารบกคนที่เข้ายึดอำนาจจะอยู่รอดเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว

อย่าง กรณี พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่ยึดอำนาจได้อย่างราบคาบด้วยอำนาจของผู้บัญชาการทหารบก แต่ร่วงจากอำนาจเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อมีอำนาจที่เหนือกว่า สูงกว่า มากระชากพรมใต้เท้าออกอย่างฉับพลันทันที จนพ่ายแพ้อย่างชนิดเอาตัวแทบไม่รอด

หรือ อย่าง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่ยึดอำนาจแล้วก็รีบโกยเงินสร้างความมั่งคั่ง แล้วหาบันไดลงด้วยการตั้งพรรคการเมืองมารองรับและสร้างอำนาจต่อรองน้อยๆ ของตนขึ้นมา ทั้งที่เคยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้แล้วทั้งเมือง ไม่น่าจะจำเป็นต้องอยู่ในสภาพดิ้นรนเอาตัวรอดเลย

เรื่อง เหล่านี้ย้ำความเข้าใจว่า อำนาจในการรัฐประหารเมืองไทยไม่ได้อยู่ในมือผู้บัญชาการทหารบกอย่างที่รับ เชื่อกันต่อมาเลย ผู้บัญชาการทหารเป็นเพียงหัวหน้าชุดปฏิบัติการเท่านั้น อำนาจล้นฟ้าที่สามารถบิดผันเจตนาของมวลชนประชาธิปไตยได้ทั้งประเทศเป็นอำนาจ ที่เหนือกว่าผู้บัญชาการทหารบก

ซึ่งเป็นอำนาจเหนือระบบ และเป็นอำนาจในระดับระบอบ

คำ ถามต่อโอกาสในการรัฐประหารจึงต้องตั้งกับคนบางคนที่มีอำนาจในระดับนั้น ซึ่งเราพอคาดเดาคำตอบกันได้ว่า ขึ้นอยู่กับความคิดและความเชื่อของเขาคนนั้น ข้อพิจารณาคือ เขาและครอบครัวจะอยู่รอดปลอดภัยจากการรุกคืบเข้ามาของฝ่ายประชาธิปไตยหรือ ไม่ ถ้ารู้สึกว่า ไม่ได้ หรือ ไม่พร้อมเสี่ยง เขาก็จะกดปุ่มรัฐประหารในทันทีโดยไม่รั้งรอ

เพราะ ฉะนั้น บวกความล่มสลายของการปรองดองสมานฉันท์ ปฏิกิริยาของมวลชนส่วนใหญ่ขึ้นทุกทีต่อคณะบุคคลที่เคยเป็นที่สถิตของความดี และความงาม เข้ากับความอมตะ (ไม่ตาย) ของขบวนประชาธิปไตย ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับชนชั้นนำในเมืองไทย

ล้วนชี้ไปสู่การตัดสินใจสั่งรัฐประหารทั้งนั้น

ใคร ถามตื้นๆ ง่ายๆ ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ เป็นของเขา เหตุใดเขาจึงจะสั่งทำลายลงเสียเล่า น่าจะถนอมรักษาไว้เป็นข้าช่วงใช้ทางการเมืองมิใช่หรือ?

ก็ ตอบได้ทันทีว่า การรัฐประหารแต่ละครั้งมิได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายรัฐบาลเพียงชุดเดียวหรือคณะ เดียว แต่เป็นการล้างไพ่ทั้งระบบแล้วสอดใส่ระบบใหม่เข้าไป เพื่อรักษาระบอบใหญ่ไว้ต่างหาก คนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นพวกตนนั้น ก็ค่อยหาตำแหน่งหน้าที่ที่เป็นบำเหน็จรางวัลตอบแทนกันไป เหมือนนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐

วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ประมาทและระลึกอยู่เสมอว่าเกิดรัฐประหารแล้วเราต้องทำสิ่งใดบ้าง

ซึ่งอาจเป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดของขบวนประชาธิปไตยไทย.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน