แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทเรียน"ม็อบ" "มวลชน" คือ ปัจจัย ชัยชนะ พ่ายแพ้


มติชนออนไลน์

วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 
 







อาการ "ละล้าละลัง" ของแกนนำ "กองทัพประชาชน" ในห้วงที่ม็อบ "ผ่าความจริง" กำลังเคลื่อนขบวนออกจากแยกอุรุพงษ์ไปทางถนนพระรามที่ 4 ในตอนสายวันที่ 7 สิงหาคม

น่าเห็นใจอย่างยิ่ง

น่าเห็นใจเพราะว่าจำนวนคนซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบเวที ณ สวนลุมพินีก็มีไม่ถึง 1,000 คน นับไปนับมายังได้ไม่ถึง 500 คนด้วยซ้ำ

เพราะ 09.00 น. ยังเช้าเกินไป

ขณะ เดียวกัน ม็อบที่แยกอุรุพงษ์แม้บลูสกายและทีนิวส์จะระบุว่ามากด้วย "เรือนหมื่น" ดังที่ นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท นำมาถ่ายทอดผ่านวิทยุรัฐสภา แต่ความเป็นจริงที่จริงแท้

ก็ยังอยู่ในกรอบ "เรือนพัน"

เท่าที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงาน ก็อยู่ในกรอบตัวเลขประมาณ 2,000 คน ไม่มากเกินไปกว่านั้น

นี่ย่อมเป็นจำนวนอันน่าหวาดเสียว

หากยึดตามบรรทัดฐานซึ่งนักรบระดับ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ กำหนดเอาไว้ ก็ถือว่ายังต่ำกว่าเป้าหมาย

"จำนวน" คือ "ปัจจัย" ชี้ขาด

ไม่ ว่าในทางการทหาร ไม่ว่าในทางการเมือง โดยเฉพาะในการเคลื่อนไหว มิอาจวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี โดยไม่คำนึงถึงปริมาณคนที่เข้ามาร่วมได้

"จำนวน" คือข้อควรคำนึง

นับแต่ "กองทัพประชาชน" เริ่มประกาศการชุมนุมเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมเป็นต้นมา ในเรื่องจำนวนต้องถือว่าล้มเหลว

เฉพาะ วันที่ 4 สิงหาคม ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มบาทก้าวแรกที่สามารถระดมเข้ามาได้มากที่สุดสื่อหลาย ฉบับรายงานตรงกันว่าอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 4,000 คน อันตรงกับความคาดหมายเดิมทั้งของสันติบาลและ บช.น.

แต่เอาเข้าจริงๆ ศอ.รส.ระบุแค่ 2,000 คน

ยิ่ง กว่านั้น เมื่อติดตามมวลชนซึ่งเข้าร่วมฟังการปราศรัยของเวที "ผ่าความจริง" ก็อยู่ในราว 1,500-2,000 คน ไม่ว่าที่ช่องนนทรี ไม่ว่าที่โรงเรียนมัธยมประชานิเวศน์ หรือแม้การชุมนุมโต้รุ่งที่อุรุพงษ์

ที่ ควรจะเห็นกล่าวสำหรับเวที "ผ่าความจริง" อันเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะระดมมวลชนได้หน่อมแน้มอย่างนั้น เพราะพื้นที่ กทม.เป็นเขตอิทธิพลของพรรคประชาธิปัตย์อย่างขี้เหร่ที่สุดก็ไม่ควรจะต่ำกว่า หมื่น แม้กระทั่งในวันเดินเท้าส่ง ส.ส.เข้าสภาก็ระดมมาได้เพียง "เรือนพัน"

จึงน่าสงสัยว่าจะเอาจริงแค่ไหน

กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์อาจประเมินได้ว่า พลันที่เดินเข้าสภาเกมก็ไปอยู่ในระบบ นั่นคือใช้เทคนิค "สภา" เป็นหลัก

สัมผัสได้จากการประชุมในวันที่ 7 สิงหาคม

ขุนพลแห่งพรรคประชาธิปัตย์งัดความจัดเจนอันสะสมมาตั้งแต่ปี 2489 แสดงออกอย่างไม่ยั้งมือ

คำว่า "ขี้ข้า" จึงกระหึ่มก้อง

การลากดึงเก้าอี้ ปาแฟ้มอาจไม่มี แต่การยื้อมิให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามวาระอันควรจะเป็นเห็นได้อย่างไม่อำพราง

แม้กระทั่ง "ผู้นำ" ฝ่ายค้านก็ลงมาในหล่มโคลนนี้ด้วย

คาดหมายได้เลยว่า ไม่ว่าในขั้นกรรมาธิการ ไม่ว่าในขั้นแปรญัตติ ก่อนจะผ่านวาระ 2 วาระ 3 ก็จะรับรู้ฤทธิ์เดชของพรรคประชาธิปัตย์ได้

และเมื่อผ่านวาระ 3 การจัด "ม็อบ" ก็จะเริ่มอีก

การ เคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์จึงยังไม่จบ ขณะที่การเคลื่อนไหวของ "กองทัพประชาชน" ไม่น่าจะไปได้มากกว่านี้ ในที่สุด ก็ลงเอยเช่นเดียวกับม็อบ "แช่แข็ง" เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555

นั่นคือ "จอด" ไม่ต้อง "แจว"

จากนี้จึงเห็นได้ว่า มีความพยายามจะเล่นเกมยื้อของพรรคประชาธิปัตย์จนถึงเดือนกันยายน

กระนั้น เกมยื้อจะสามารถทำได้หรือไม่ นอกจาก "ประเด็น" ที่เสนอขึ้นมาแล้ว ปัจจัยสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ประชาชนหรือ "มวลชน" จะเอาด้วยหรือไม่

"มวลชน" คือปัจจัย "ชี้ขาด"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน