วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

วิสัยทัศน์สู่อาเซียนแบบ"ยิ่งลักษณ์"

วันที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 10:40:11 น.
 





เมื่อวันที่ 5 เมษายน   เวลา 11.00 น. ที่โรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดโครงการหลักสูตรการฝึกอบรมผู้บริหาร ระดับสูงอาเซียน เพื่อพัฒนาทักษะในการบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมสำหรับการ บริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ และเตรียมความพร้อมบุคลากรสู่ประชาคมอาเซียนและกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อเรื่อง “วิสัยทัศน์ประเทศไทยภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงภายในภูมิภาคและกรอบความร่วม มือของประชาคมอาเซียน”


น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า โครงการฝึกอบรมผู้บริหารระดับสูงอาเซียนในวันนี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และตามยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนการสร้างความเข้าใจและเติบโตไปพร้อมกันในการพัฒนาขีดความสามารถ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ดังนั้นการฝึกอบรมครั้งนี้ จึงขอให้ทุกคนร่วมกันทำ workshop และคิดพัฒนาหลักสูตรในการเรียนรู้เรื่องของอาเซียนเพื่อนำประโยชน์ที่ได้ไป ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์กร การทำธุรกิจ และเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศต่อไป

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า โลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนอย่าง รุนแรง โดยปีนี้ประเทศไทยต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบทำให้เกิดปัญหา อุทกภัยในปีที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาภัยแล้ง ดังนั้นจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ ทุกคนจะต้องมีการปรับตัวและหาวิธีการรองรับให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิด ขึ้น อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและการที่จะเข้าสู่การเป็นประชาคมอา เซียนในปี 2558 ถือเป็นความท้าทายและเป็นโอกาสในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความร่วมมือของสมาชิกอาเซียนในหลายมิติ

"การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนเดียวกันจะประกอบด้วยเสาหลัก 3 ด้าน คือ
1) ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community : APSC)
2)ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)
3)ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community: ASCC)

ซึ่งความสำคัญของเสาหลัก 3 ด้าน ในการที่เข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 เสาหลักประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นั้น เมื่อภาษีศุลกากรในอาเซียนลดลงเป็น 0% อาเซียนกลายเป็นเขตการค้าเสรีอย่างสมบูรณ์ ประเทศไทยจะใช้ประโยชน์อย่างไร ดังนั้นต้องมีการศึกษาถึงจุดแข็งและศักยภาพของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนใน เรื่องของภาษี รวมทั้งให้ศึกษายุทธศาสตร์ของประเทศไทยและกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เช่น เรื่องวัตถุดิบ ที่อาจจะมีการนำเข้าจากต่างประเทศและมาผลิตในประเทศไทย หรือไปลงทุนต่างประเทศบางส่วน"น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของแรงงาน ก็จะต้องมีการยกระดับจากแรงงานไร้ฝีมือเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ และแรงงานกึ่งฝีมือเป็นแรงงานมีฝีมือ ขณะเดียวกันประเทศไทยจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของ ประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้นำเสนอ รายละเอียดพระราชบัญญัติการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครง สร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท ต่อสภาผู้แทนราษฎร แล้ว ทั้งนี้เพื่อวางรากฐานให้เกิดการเชื่อมโยงทั้งในประเทศและในกลุ่มประชาคมอา เซียน ทั้งเรื่องของภาษี การเคลื่อนย้ายแรงงาน ด่านชายแดนที่จะพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจ


น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ส่วนเสาหลัก ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC) นั้น มีจุดมุ่งหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและการเชื่อมโยงวัฒนธรรมที่ ดีงามระหว่างกันในกลุ่มประชาคมอาเซียน ซึ่งจะส่งผลไปถึงความเจริญเติบโตเรื่องการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรม และรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนทำให้เกิดความรักความสามัคคีในประชาคมอาเซียน

"สำหรับเสาหลักประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (APSC) ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะที่มีความสำคัญ ซึ่งหากการเมืองและความมั่นคงมีความสงบก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคอา เซียน รวมถึงในเรื่องของด่านศุลกากรที่รัฐบาลได้ดำเนินการ และการขยายเวลาในการเปิด-ปิดด่านชายแดน ตลอดจนการยกระดับจากด่านกึ่งถาวรเป็นด่านผ่านแดนถาวร เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ทุกกระทรวงและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมการให้ประเทศและประชาชนมีความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอา เซียนอย่างมั่นใจ"น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว


น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เพื่อให้ประเทศพัฒนาไปอย่างมีทิศทาง รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ประเทศ 4 ยุทธศาสตร์หลัก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนและสร้างรากฐานของประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะต้องเพิ่มรายได้โดยรวมให้กับประเทศ อย่างไรก็ตามปัจจุบันประเทศไทยถูกปรับขึ้นไปเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง (Middle Income) จนถูกตัดสิทธิพิเศษ (GSP) ที่เคยได้จากประเทศพัฒนาต่างๆ ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นจะต้องเร่งเจรจาในเรื่องของ FTA ข้อสัญญาและข้อกฎหมายต่าง ๆ ขณะเดียวกันจะต้องสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวเพื่อให้ประเทศเติบ โตอย่างต่อเนื่อง การใช้ประโยชน์จากภาษีศุลกากรในอาเซียนลดลงเป็น 0% การพัฒนาขีดความสามารถรายอุตสาหกรรม การยกระดับฝีมือแรงงาน เพื่อจะได้สนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจอย่างเต็มที่


ยุทธศาสตร์ที่ 2  การลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับทุกคน โดยดำเนินการดังนี้ การเข้าถึงแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค การพัฒนาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความมั่นใจในการลงทุนให้กับภาคเอกชน อีกทั้งได้มีการบูรณาการการดูแลผู้สูงอายุ เด็ก สตรีและผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะความปลอดภัย การเดินทาง ความมั่นคง และการเข้าถึงบริการทางด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกันก็จะมีการประกาศการบูรณาการอย่างเป็นรูปธรรมโดยตั้งศูนย์ช่วย เหลือสังคม OSCC (One-Stop Crisis Center) ซึ่งเป็นระบบส่งต่อเพื่อช่วยเหลือเด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาส ที่ถูกกดขี่และถูกกระทำรุนแรง อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว ขอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณาการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ ครอบคลุมประชาชนในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีประชากรกว่า 600 ล้านคน


ยุทธศาสตร์ที่ 3  การสร้างการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เติบโตขึ้นต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะเสริมต่อการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นการหาแหล่งพลังงานธรรมชาติ นำพลังงานทางเลือกมาใช้ เช่น พลังงานภาคการเกษตร เป็นต้น


และยุทธศาสตร์ที่ 4  การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ จะเป็นการปรับให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศที่มีการเติบโตขึ้น เศรษฐกิจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ดังนั้นจึงอยากเห็นบทบาทของราชการเป็นกลไกสำคัญที่จะให้การสนับสนุนในการที่ จะทำให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนต่อไปได้ รวมถึงส่งเสริมให้เอกชนไปลงทุนในต่างประเทศและให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนใน ประเทศไทย และสามารถลดความยุ่งยากในการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยได้กลับคืนมาติดอันดับที่ง่ายต่อการลงทุน โดยอยู่บนความโปร่งใสตรวจสอบได้ รวมทั้งต้องมีความเข้าใจถึงข้อกฎหมายสากลและสามารถนำมาปรับใช้ให้ได้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าหากดำเนินการได้จะสามารถดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพิ่มขึ้น

"สิ่งที่ต้องการเห็นจากการฝึกอบรมครั้งนี้ขอให้นำภาพรวมที่เห็นร่วมกัน จากการทำ workshop ไปดำเนินการลงในรายละเอียดของพื้นที่ เพื่อจะเตรียมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ทั้งนี้ประเทศไทยถือเป็นจุดศูนย์กลางในการที่จะเชื่อมต่อไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหากเกิดการเชื่อมต่อกันขึ้นในประชาคมอาเซียนจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ต่อประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งการสร้างคน สร้างงาน รายได้ และโอกาสจาก 60 ล้านคน เป็น 600 ล้านคน รวมทั้งอยากเห็นการทำ workshop ระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันทั้งในเรื่องของยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ ภาษี กฎหมาย และวัฒนธรรม"น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการ ก.พ. กล่าวรายงานว่า หลักสูตรฝึกอบรมผู้บริหารระดับสูงอาเซียนนี้ เป็นหนึ่งในโครงการเตรียมความพร้อมกำลังคนภาครัฐในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งการพัฒนาหลักสูตรนี้เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสำนักงานก.พ. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศและสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยวัตถุประสงค์หลักของการจัดฝึกอบรม เพื่อการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจเชิงลึก ทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารระดับสูง ในระดับปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนและผู้แทนจากภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบสนองบริบทการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในโลกและใน ภูมิภาคอย่างถูกต้องและรอบด้าน ในขณะเดียวกันก็เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ตรงกันและสร้างเวทีในการแลก เปลี่ยนเรียนรู้การทำงานร่วมกันอย่างมีบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและการดำเนินงานเชิงยุทธศาสตร์ในด้านต่างๆ ที่เป็นจุดยืนร่วมกันบนผลประโยชน์ของชาติ ทั้งจะยังเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นของต่างประเทศต่อการดำเนินงานภาย ใต้กรอบความร่วมมือประชาคมอาเซียนของรัฐบาลไทยอีกด้วย

นายนนทิกรกล่าวว่า โดยในปีงบประมาณ 2556 นี้ โครงการหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงอาเซียนกำหนดจะจัด 2 รุ่น โดยรุ่นที่ 1 กำหนดจะจัดฝึกอบรมในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และรุ่นที่ 2 กำหนดจะจัดฝึกอบรมระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม 2556 โดยเนื้อของการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 5 หัวข้อสำคัญๆ ได้แก่

1. แรงขับเคลื่อนและแนวโน้มทิศทางของโลก
2. ภูมิทัศน์ของภูมิภาคอาเซียน
3. วาระของชาติ
4. ทักษะการสร้างความร่วมมือและการรวมกลุ่ม
5. การศึกษาดูงานประเทศสมาชิกอาเซียน

สำหรับวิธีการดำเนินการในหลักสูตรนี้ จะมีการเชิญผู้นำทางความคิดที่สำคัญและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก พร้อมกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาแลก เปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์กับผู้บริหารระดับสูงที่เข้าร่วมฝึกอบรม รวมทั้งมีการศึกษาดูงานในประเทศอาเซียนด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น