Me and My Country (1)
Thaksin Shinawatra
เบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่น
ในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ
ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการ เล่าเรื่องเบื้องหลังการเจร จากับญี่ปุ่นในการสร้างสนาม บินสุวรรณภูมิครับ
ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการป ระกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โ ดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซ ึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อน เป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได ้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและ จำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้ น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั ้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้าน เพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้
ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤต ิเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพ งเกินจริงและรองรับผู้โดยสา รได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส ่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ป ุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บร ิษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะ ไม่จริง
ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้อ งยกเลิกการประมูลและแก้แบบใ หม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป ็นไร ผมใช้เงินแบงค์กรุงไทยกับแบ งค์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่
ผลปรากฎว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้ เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลั งจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย
และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับ มาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องกา รของเขาและของเรา)
ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายก ฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่าไทยจะไม่ยอมก ู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญ าที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำ รองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากก ว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน
ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดด ออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือ เต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้อ งใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มี ใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว ่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา
ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้ น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้ น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้าม าประกอบกับการปรับนโยบายของ ธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั ้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออก ที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็ เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสาม ารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้อง ยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป ็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้
ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลา ยคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใ ช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไ ปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นน ักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได ้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้ นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งห มดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะ ว่าอีก 6 เดือนจะชำระ
ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทย ดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไท ยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป ็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเ ป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่ าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภ าคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย
สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศา สตร์การเงินและการทำงานที่ค วบคู่กันได้ดี เราจะสร้างTrust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในท ี่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เ ราได้ใช้บริหารและสร้างรายไ ด้อย่างไม่จำกัดครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ
ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการ
ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการป
ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤต
ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้อ
ผลปรากฎว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้
และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับ
ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายก
ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดด
ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้
ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลา
ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทย
สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น