ข้อเขียนชิ้นนี้ กระผมได้รับการประสานจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รู้จักกันดี ให้กระผมช่วยพิจารณาด้วยว่า มีความเห็นเป็นเช่นไร ถ้าเห็นควรแบบไหนก็สามารถแก้ไขได้ เพียงอยากเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับพี่น้องคนไทยทุกคนได้ศึกษากันเท่า นั้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่ สิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ผู้เขียนต้องการ
ผมอ่านแล้วถึงกับอึ้ง และได้รู้ว่ามืออาชีพจริงๆนั้นเป็นเช่นไร จึงไม่ขอเสริมหรือเพิ่มเติมอะไรทั้งสิ้นในข้อเขียนชิ้นนี้ เพียงแต่ขอตัด วัน ที่เดือน พศ.ที่ผู้เขียนท่านลงเอาไว้แค่นั้น
และหวังว่าข้อเขียนชิ้นนี้ ทุกท่านที่เป็นนักสู้ตัวจริงจะได้อ่านกันครบถ้วนหน้าครับ
.............................................
ประมวล วงษ์พันธ์
เริ่มต้น
ตอนที่ ๑
สภาพทั่วไป
เวลานี้เกิดข่าวลือว่าฝ่ายเผด็จการที่สูญเสียอำนาจบางส่วนไปจะก่อการรัฐ ประหาร ข่าวนี้ไม่ต้องไปวิเคราะห์มากมายก็รู้ได้ว่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีการตื่นตัวอย่างสูงในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยที่จะ เคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารของพวกเผด็จการ ไม่ว่าจะมีภาพเงื่อนไขอะไร เราก็คิดไปเองว่า จะต้องเกิดสงครามการเมืองขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะฝ่ายประชาชนจะไม่ยอม เป็นเป้านิ่งให้พวกเผด็จการปราบปรามเข่นฆ่าแต่ฝ่ายเดียวเหมือนอย่างที่เคย ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเชื่อว่าจะมีสงครามกลางเมือง เราก็สามารถจินตนาการได้ถึงผลลัพธ์ของการต่อต้านเผด็จการของฝ่ายประชาชนว่า จะเกิดการสูญเสียอย่างมหาศาล แม้จะพยากรณ์ได้อีกว่า สุดท้ายแล้วฝ่ายประชาชนจะได้รับชัยชนะ แต่ก็จะเป็นชัยชนะที่มีราคาแพงยิ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ที่สุดจะเป็นการสูญเสียที่ไม่จำเป็น เพราะศัตรูแม้มีจำนวน น้อย แต่ในทางการทหาร กองกำลังติดอาวุธของพวกเขาเป็นกองกำลังที่รวมศูนย์ มีการบังคับบัญชามีระเบียบวินัย มีทักษะในการรบ มีกำลังไฟ (อำนาจการยิง)สูง มีระดับเทคนิคทุกด้านสูง (การสื่อสาร การขนส่ง การข่าว ฯลฯ)และที่สำคัญในทางการเมืองอาจมีอำนาจอิทธิพลมืดยิ่งใหญ่จากภายในประเทศ และนอกประเทศสนับสนุน
ที่ตรงกันข้ามกัน ฝ่ายประชาชน แม้ในทางการเมืองมีผู้สนับสนุนจำนวนมหาศาลและมีความชอบธรรมที่ไม่มีใคร ปฏิเสธได้ มีจิตใจวีระอาจหาญแต่ในทางการทหารกลับมีสมรรถนะด้อยแบบตรงกันข้ามกับฝ่าย เผด็จการ –ดูเหมือนว่ารวมศูนย์แต่แท้จริงแล้ว กระจัดกระจาย ไร้การนำ ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีทักษะการรบ กำลังไฟต่ำ ยิ่งไมต้องพูดถึงระดับทางเทคนิคที่ไม่มีทางเปรียบเทียบกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายประชาชนไม่มีตัวช่วยจากโครงสร้างส่วนบนและมหาอำนาจต่าง ประเทศเลยเมื่อเข้าสู้รบกันฝ่ายประชาชนจึงกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟอย่าง เลี่ยงไม่ได้
ในระยะอั้นสั้น หากฝ่ายประชาชนไม่มีกองกำลังประจำการ (ทหารแตงโม) ที่มีสมรรถนะเท่าเทียมกับกองกำลังของฝ่ายเผด็จการ สามารถเข้าสู้รบกับฝ่ายเผด็จการอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ ฝ่ายเราก็จะไม่มีทางที่จะจัดการกับศัตรูได้เลยต้องใช้เวลา ทรัพยากร และความพยายามอีกมากมายกว่าที่จะสร้างกองทัพประชาชนที่ทัดเทียมกันกับศัตรู ขึ้นมาได้ การสร้างกองทัพเช่นนี้จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากขาดองค์การนำปฏิวัติ ที่มีความสามารถทางการจัดตั้งสร้างเอกภาพภายในขบวนการประชาชน มีอุดมการณ์และทฤษฎีทางการเมือง-การทหารที่ถูกต้อง และมีประชาชนอันไพศาลให้การสนับสนุนเข้าร่วมหนทางปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธโค่น ล้มระบอบเผด็จการ
ข้อเขียนนี้เป็นเพียงความเห็นที่มีต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าบางแง่มุม ที่ต้องการชี้ให้เห็นว่าฝ่ายประชาชนล้วน ๆ ยังไม่พร้อมและไม่มีขีดความสามารรถทางวัตถุใด ๆ ที่จะทำสงครามต่อต้านเผด็จการได้อย่างแท้จริง ที่ดูเหมือนว่ามีอยู่ก็เป็นเพียงภาพลวงตาหลอกตนเองเท่านั้นใน สภาพเงื่อนไขที่เป็นอยู่ หากสงครามเกิดขึ้นจริง แม้ในตอนต้นฝ่ายประชาชนจะดูได้เปรียบ เนื่องจากความชอบธรรม และมีจำนวนที่มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาก ทำให้มีความสามารถเป็นฝ่ายกระทำ แต่ในระยะยาวนานต่อไป ฝ่ายประชาชนเราก็จะสูญเสียการเป็นฝ่ายกระทำนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก สภาพการนำของฝ่ายประชาชนแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีลักษณะไร้ทิศทาง โลเลไร้จุดยืน ไร้เดียงสาทางการเมือง ไม่มีทฤษฎีสู้รบ ไม่มียุทธศาสตร์ (คือกำหนดได้ว่า จากอะไร ไปสู่อะไร และอะไรคือเป้าหมายสุดท้าย)เมื่อ ไม่มีทฤษฎีก็ไม่เข้าใจปรากฏการณ์ มักมีความไวในการตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป ประเมินกำลังตนเองและศัตรูไม่ออก ฯลฯ
อย่างไรก็ตามแม้ ขบวนการประชาชนมีสภาพการนำที่ค่อนข้างล้มเหลว นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นมาก็ไม่เคยนำขบวนต่อสู้จนได้ชัยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียวต้องพ่ายแพ้ และสูญเสียอย่างหนักมาหลายครั้ง แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ ขบวนการประชาชนกลับมีการขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ชี้ชัดว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดจากแรงขับดันทางประวัติศาสตร์ภายในของสังคมไทยล้วน ๆ เลยทีเดียว แรงขับดันที่ว่านี้ ก็คือ “พลังการปฏิวัติ” นั้นเอง
สภาพการต่อสู้ในครั้งต่อ ๆ ไปก็จะเหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา ที่เริ่มจากการเป็น “ฝ่ายรุก”แล้วก็กลายมาเป็น “ฝ่ายรับ”ถึงเวลารุกได้ก็ไม่รุก ถึงเวลาถอยได้ก็ไม่ถอย ยืนหยัด ลัทธิ “สู้ม้วนเดียวจบ” สู้อยู่กับที่ อยู่ร่ำไป สูญเสียความเป็น “ฝ่ายกระทำ” กลายมาเป็น “ฝ่ายถูกกระทำ”และถูกปราบปรามลงไปในที่สุด หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นกระบวนการมาตั้งแต่ ครั้งเหตุการณ์ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๒ จนถึง๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จากความจัดเจนหลายครั้งหลายครา เราจึงสามารถคาดล่วงหน้าได้เลยว่า การต่อสู้ครั้งต่อ ๆ ไปภายใต้การนำแบบนี้ ก็จะมีสภาพอย่างเดิม ความเลวร้ายของการนำต่อสู้ลักษณะนี้คือทำให้ ประชาชนต้องมีการสูญเสียเป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็นและระยะเวลาการต่อสู้ที่ ควรสั้นก็จะต้องเนิ่นยาวนานออกไปเรื่อยๆ ถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
ตัวอย่างสำคัญคือการต่อสู้ในลิเบียฝ่ายต่อต้านกัดดาฟีแต่ต้นเป็น เพียงฝูงชนบ้าคลั่งติดอาวุธจำยวนเล็กน้อย ภายใต้การนำของขบวนการมุสลิมหัวรุนแรง (อัลไกอิดา ที่ ซีไอเอก่อตั้งขึ้นต่อต้านโซเวียตในสงครามอัฟกานิสถาน โดยให้บินลาเดนเป็นผู้นำ) ที่ถูกกัดดาฟีปราบปรามอยู่เริ่มต้นเป็นฝ่ายรุก ต่อมากลายเป็นฝ่ายถอย ต้องถอยหนีไปทำสงครามป้อมค่าย ตั้งแนวต้านทานสุดท้ายที่ เบงกาซี ถูกฝ่ายรัฐบาลล้อม หากสหประชาชาติและชาติเนโต้ไม่เข้าแทรกแซง และประเทศอาหรับบางประเทศที่เป็นตัวแทนของประเทศตะวันตก ใช้กำลังทางอากาศเข้ากดดันฝ่ายรัฐบาลลิเบียแล้วส่งทหารรับจ้างและอาวุธทัน สมัยไปช่วยฝ่ายต่อต้าน หากไม่มีการเคลื่อนไหวแทรกแซงนี้ฝ่ายต่อต้านก็คงถูกทำลายลงไปแล้วแน่นอน
สถานการณ์อย่างเดียวกันนี้เกิดขึ้นในซีเรีย ฝ่ายต่อต้านที่มีขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงอยู่เบื้องหลังและได้รับการสนับสนุน จากกาตาร์ ซึ่งเป็นอาหรับเจ้าเดียวกันสนับสนุนขบวนการต่อต้านกัดดาฟีในลิเบียเริ่มต้น ขบวนการต่อต้านเป็นฝ่ายรุกอย่างรวดเร็วจนเข้าประชิดกรุงดามัสกัส แต่ก็ถูกฝ่ายรัฐบาลที่มีความเหนือกว่าทางการทหารสามารถต้านยันเอาไว้ได้ แต่บทเรียนจากลิเบียทำให้ประเทศตะวันตกไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ เหตุการณ์ในซีเรียโดยตรง ได้แต่แสร้งแสดงท่าทีเหมือนอยากจะเข้าไปช่วย รักษาหน้าของตนไปเท่านั้นเมื่อฝ่ายรัฐบาลโต้กลับกลายเป็นฝ่ายรุกบีบจนฝ่าย กบฏต้องถอย ก็กลับไปทำสงครามป้อมค่ายอีกตั้งแนวต้านทานที่เมืองฺฮิมส์ (ทางเหนือของดามัสกัสใกล้ชายฝั่งเมดิเตอเรเนียน) และในที่สุดก็ถูกปิดล้อมและถูกกวาดล้างทำลายพ่ายแพ้ลงไป การต่อต้านที่เหลืออยู่เวลานี้ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่ต่อสู้ไป อย่างสะเปะสะปะ จนใช้ระเบิดฆ่าตัวตายอันเป็นยุทธวิธีของอัลไกอิดาโจมตีเป้าหมายไม่เลือก ทำลายความชอบธรรมและมิตรของตนลงไปทุกวันฝ่ายรัฐบาลอัสซาดสามารถควบคุม สถานการณ์ได้ในที่สุดความผิดพลาดสำคัญของฝ่ายกบฏหากไม่นับปัญหายุทธศาสตร์ แต่เริ่มต้นและเอกภาพทางการจัดตั้ง ก็คือ การที่ขบวนการต่อต้านฝากความหวังไว้กับการช่วยเหลือจากภายนอกประเทศเป็นด้าน หลัก จึงปักหลักทำสงครามป้อมค่ายสร้างแนวรับไว้ที่เมืองฮิมส์ จังหวัดฮอมส์และที่อื่น ๆ เพื่อซื้อเวลา เผื่อว่าจะมีความช่วยเหลือมาทางทะเลเมดิเตอเรเนียน ถ้าพวกเขาสามารถยืนหยัดตรึงฝ่ายรัฐบาลไว้ได้นานพอ แต่ความช่วยเหลือที่ว่านั้นก็ไม่เคยมา และฝ่ายต่อต้านที่ยึดถือยุทธวิธีปักหลักสู้ตายไม่สามารถยืนหยัดต้านทานกำลัง ไฟและการจัดตั้งที่เหนือกว่าของรัฐบาลซีเรียได้ เหตุการณ์เช่นว่านี้จะเปลี่ยนไปถ้า ฝ่ายต่อต้านมุ่งการช่วยตนเองเป็นหลัก ไม่ฝากความหวังไว้กับต่างชาติ เมื่อสูญเสียสภาพการเป็น “ฝ่ายกระทำ” แล้วจึงจำเป็นต้องรักษากำลังที่มีชีวิตของตน ก็จะต้องกระจายกำลังออกถอยไปสู่ชนบท หรือในพื้นที่ที่ศัตรูอ่อนแอ ทำสงครามจรยุทธ์ ยืดเยื้อ บังคับให้ฝ่ายรัฐบาลต้องกระจายกำลังออก ทำผิดพลาด และเปิดเผยจุดอ่อนออกมา ..... แต่โอกาสสำคัญเช่นนั้นได้สูญเสียไปแล้วไม่มีวันจะหวนกลับมาอีก
ขณะนี้ทางประเทศตะวันตกเข้าไปแทรกแซงวิกฤติในซีเรียอย่างลับ ๆ โดยการสนับสนุน เงิน อาวุธ และส่งทหารรับจ้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตทหารอิรัก เข้าไปในซีเรียแบบเดียวกับที่เคยทำในลิเบีย ผลจะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องเฝ้ามองดูกันต่อไป
ขอเพิ่มเติมอีกนิดในเรื่องซีเรียว่า หลังจากที่รัฐบาลได้ทำลายกำลังหลักของกองกำลังฝ่ายกบฏลงไปได้แล้ว ฝ่ายกบฏก็แตกกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยทุกกลุ่มไม่ขึ้นต่อ หรือประสานกัน เกิดลัทธิอนาธิปไตย ไม่สนใจการต่อสู้ทางการเมือง (สร้างมิตรสร้างแนวร่วม) ทำการแก้แค้นส่วนตัวอย่างสะเบะสะปะ โจมตีและขับไล่ขบวนของผู้สังเกตการณ์นานาขาติที่มีท่าทีเห็นใจฝ่ายต่อต้าน ใช้ระเบิดฆ่าตัวตายทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์ลงไปเป็นจำนวนมาก เสียการเมือง (เสียมิตร) ทำให้ฝ่ายกบฏมีภาพลักษณ์ของผู้ก่อการร้ายมาขึ้นทุกวัน ตัวอย่างเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นในแคว้น เชชเนียญ์(Chechnya) รัสเซียใต้ จนเกียรติภูมิของขบวนการเอกราชเชเชนย์ต้องสิ้นสลายลง กลายเป็นโจรก่อการร้ายไปในที่สุด
ความผิดพลาดของขบวนการอิสรภาพเชเชนญ์ คือการไปรับการสนับสนุนจากประเทศอาหรับตัวแทนนายหน้าของอเมริกา การสนับสนุนนั้นมาพร้อมกับทรรศนะและวิธีการอิสลามสุดขั้ว ที่อเมริกาเชื่อว่าสามารถต่อสู้กับสหภาพโซเวียตได้ อย่างเช่นในอัฟสกานิสถาน การก่อการร้ายด้วยการลักพาตัวแล้วประหารอย่างโหดร้าย การลอบสังหาร การโจมตีเป้าหมายพลเรือน การจับตัวประกันจำนวนมาก การระเบิดฆ่าตัวตาย ฯลฯ เป็นการก่อการร้ายที่มุ่งหวังแต่จะสร้างความสยดสยอง แต่ไม่ใช่เพื่อชัยชนะ ให้สังเกตว่า การระเบิดฆ่าตัวตาย นั้นเป็นลายนิ้วมือแผงของการก่อการร้ายที่อเมริกาอยู่เบื้องหลังเสมอ ซึ่งเคยใช้ครั้งแรก ๆโดยชาวปาเลสไตน์ ในอิสราเอล ช่วงศตวรรษที่ ๑๙๘๐ เพื่อให้อิสราเอลใช้เป็นเหตุผลในการยึดครองพื้นที่ของปาเลสไตน์ และทำลายความชอบธรรมของขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์ ทราบในตอนหลังว่าขบวนการระเบิดฆ่าตัวตายนี้มีองค์การมอสสาดของอิสราเอลอยู่ เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม อเมริกาไม่สามารถจับปีศาจที่ตัวเองปล่อยออกมาให้กลับเข้าไปในขวดได้ จนกลายเป็นลักษณะยุทธวิธีหนึ่งของขบวนการต่อสู้อิสลามไป ซึ่งทำลายความชอบธรรมของการต่อสู้ของตนลงไปเรื่อย ๆ ชัยชนะก็ยิ่งห่างไกลออกไปจนมองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็นชัยชนะก็ยิ่งมืดบอด สิ้นคิดยิ่งก่อภัยสยองทำลายตัวเองหนักมือขึ้นไปอีก ชัยชนะที่ว่านี้ก็คือ ชัยชนะทางการเมือง ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและมิตรทั่วโลก และแม้แต่ความเห็นอกเห็นใจภายในหมู่ศัตรู
เหมือนกับเมืองไทยหรือเปล่า? เนื่องจากฝ่ายนำนปช. ยึดกุมลัทธิ “ม้วนเดียวจบ” อย่างเดียวกับพวก พธม.เมื่อศัตรูปิดล้อมเข้ามา แสดงเจตนาจะปราบปรามรุนแรงอย่างชัดเจน แทนที่จะกระจายกันออก ถอยออกไปไม่ยอมให้มันล้อม แล้วกระจายตัวออกทั่วกรุงเทพและทั่วประเทศ เปลี่ยนสภาพจากเป็นฝ่ายถูกล้อม มาเป็นฝ่ายล้อม ก็จะไม่เสียหายมากขนาดนั้น แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมกลับปักหลักอยู่กับที่ให้มันฆ่าเล่นอย่างเมามันเข้าใจว่า เสื้อแดงตายไปหลายร้อยศพ (เข้าใจว่าศพที่ถูกทหารฆ่าตายเป็นจำนวนมากถูกทำลายไป ไม่ให้เป็นหลักฐาน)นปช. แทบสูญสลาย ถ้าไม่มี บก.ลายจุด หรือสมบัติ บุญงามอนงค์มากอบ กู้สถานการณ์ เวลานี้ นปช. ก็คงถูกสลายลงไปเรียบร้อยแล้วนี่คือบทเรียนของการต่อสู้แบบมวยวัด พิสูจน์ว่า ตั้งแต่ต้น นปช.มีแต่สีสัน แต่ไม่มีทฤษฎีต่อสู้ ไม่มีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ไร้เดียงสาทางการเมืองและไร้จินตนาการในการคิดประดิษฐ์ยุทธวิธีต่อสู้โดย สิ้นเชิงนอกจากนี้ นปช. ยังมีความเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า รัฐบาลจะล้มหากมีการฆ่าประชาชนเกิดขึ้น และเนื่องจากถูกชี้นำโดยทักษิณที่มีธาตุแท้ ค้านปฏิวัติและยอมจำนนมาแต่ต้น การนำเช่นนี้จึงนำมาสู่การสูญเสียที่ไม่จำเป็นมากมาย ครั้งแล้วครั้งเล่า
แกนนำการชุมนุมทั้งหลายเป็นเพียงนักพูด แต่ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่นักจัดตั้ง น่าหนักใจว่า แม้จะผ่านบทเรียนมาขนาดนี้แล้ว การนำของ นปช. ก็ยังไม่มีการสรุปบทเรียนและแก้ไขแนวทาง ในคราวต่อ ๆ ไป กระบวนการก็จะเป็นเช่นเดิม ขบวนการ นปช. จึงเป็นได้แค่หมากต่อรองบนโต๊ะเจรจาของทักษิณกับอำมาตย์ใหญ่เท่านั้น
ในทั้ง ๒ กรณีทั้งลิเบียและซีเรีย ผู้เขียนมีทรรศนะแตกต่างไปจากคนทั่วไปที่ได้รับข่าวสารด้านเดียวจากสื่อ ตะวันตก ตรงกันข้ามผู้เขียนสนับสนุน กัดดาฟีแห่งลิเบีย และอัสซาดแห่งซีเรีย ในด้านจุดยืนของพวกเขา ที่มุ่งดูแลพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน คัดค้านจักรพรรดินิยมและสมุน แต่ข้อมูลจากสื่อตะวันตกทำให้มีความสับสนและสงสัยพวกเขาในด้านวิธีการที่พวก เขาเลือกใช้ใช้แต่การทหารเป็นด้านหลัก ก่อการเข่นฆ่าประชาชนอย่างไม่จำแนกมีผลลัพธ์คือกัดดาฟีพ่ายแพ้ในลิเบีย แต่อัสซาดยังคงมีชัยชนะยกแรกในซีเรีย
ตัวอย่างในระดับสากลก็คือ การแข่งขันระหว่างอเมริกา
ซึ่งเป็นตัวแทนของทุนนิยมเก่าของโลก กับจีน
ซึ่งน่าจะเป็นตัวแทนของทุนนิยมใหม่ของโลก
(ผู้เขียนยอมรับว่าไม่พอใจกับนิยามที่มีต่อจีนแบบนี้
แต่ก็ขอใช้ในขอบเขตทางประวัติศาสตร์ก็แล้วกัน)
ส่วนจีน ใช้ทรรศนะทุนนิยมใหม่ ที่เน้นอยู่ที่ การเพิ่มมูลค่า และ
การสร้างมูลค่า เร่งรัดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สร้างสินค้าและบริการใหม่ ๆ หากยังส่งออกไม่ได้
ก็หันว่าเน้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อสร้างขนาดตลาดให้มีขนาดกว้างพอคุ้ม
ค่าการลงทุน และเป็นตัวอย่างนำการบริโภค เช่น รถไฟความเร็วสูง
เทคโนโลยีการสื่อสาร ๕จี และ ๖จี การส่งดาวเทียมสู่อวกาศ ฯลฯ
เหล่านี้ก็จะย้อนไปเอาชนะ การกีดกันทางการค้าและการลงทุนของอเมริกาในที่สุด
และที่ใหม่ล่าสุดก็คือ การดัดแปลงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมผู้ผลิตไปสู่เศรษฐกิจแบบสังคมผู้บริโภค จากเศรษฐกิจผู้ผลิตที่ต้องตามใจความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านราคาและ คุณภาพ (เป็นฝ่ายถูกกระทำ) ไปเป็นเศรษฐกิจผู้บริโภคที่เป็นผู้กำหนดตลาด โดยการใช้อำนาจการซื้อมหาศาลและสร้างมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการใหม่ของ จีนที่ตนเป็นผู้กำหนด (เป็นฝ่ายกระทำ) ระบบเศรษฐกิจใหม่ของจีนนี้จะทำให้อเมริกาและยุโรปต้องกลายเป็นเศรษฐกิจผู้ ผลิตไปในที่สุดที่ต้องขึ้นอยู่กับความเมตตากรุณาและมาตรฐานใหม่ของจีน
ในแง่ของปัจเจกบุคคล อย่าง บิลเก็ท และ ทักษิณ ร่ำรวยขึ้นมาจากการค้า “เทคโนโลยี” โดยเฉพาะทักษิณหลัง จากที่ถูกทำลายในประเทศไทยแล้ว เขาก็เริ่มต้นใหม่ในการค้า “ทุน”ระดับสูง ในรูปของ “กรรมสิทธิ์” และสัมปทานต่าง ๆ ทั่วโลก พัฒนารูปแบบธุรกิจจาก “นายหน้า” มาเป็น “ผู้พัฒนาโครงการ” ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าจากของที่มีมูลค่าต่ำ (value added) หรือ สร้างมูลค่าขึ้นใหม่จากสิ่งที่ไม่มีค่า (value creation)คือ เอาโครงการหรือสัมปทานใด ๆ จากเจ้าของเดิมมาปรับปรุงเสียใหม่แล้วขายต่อออกไป เขาจึงมีรายได้จากกำไรส่วนต่างที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ และเหมืองเพชรและเหมืองแร่มีค่าใน แอฟริกา เป็นต้น เขายังเป็นผู้ร่วมบริหารกองทุนขนาดใหญ่ของอาหรับอีกอย่างน้อย ๔ กองทุน ในวิกฤติเศรษฐกิจโลกเขาเป็นผู้ส่งเสริมให้ทุนอาหรับไปร่วมมือกับทุนจีน ช่วยปูตินแก้ปัญหาเศรษฐกิจรัสเซีย และอาจมีส่วนให้ความเห็นการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ในประเด็นว่าควรจะเน้นที่การกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า มาตรการรัดเข็มขัดอย่างเดียว ซึ่งหมายถึง การเน้นหนักที่เศรษฐกิจภาคผลิตแท้จริง มากกว่าเศรษฐกิจภาคการเงิน ด้วย การเพิ่มการลงทุนและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตแนวทางที่โอลองด์ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนใหม่เสนอ เป็นแนวทางคู่ขนาน (dual tracks)อย่างเดียวกับที่ทักษิณเคยใช้ได้ผลในประเทศไทยมาก่อน (ระยะหลัง ๆ นี้ทักษิณไปฝรั่งเศสบ่อยมาก) ฯลฯ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พวกอำมาตย์แทนที่จะทำลายทักษิณลงได้กลับเป็นผู้ส่งเสริมเสียเองให้ทักษิณมี ฐานะร่ำรวยยิ่งกว่าเดิมและขึ้นไปมีบทบาทระดับเวทีโลก จนเงินหลายหมื่นล้านที่ถูกอำมาตย์ปล้นเอาไป และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยจึงกลายเป็นของเล็กน้อยเท่านั้น และมันจะเป็นความโง่เง้าอย่างยิ่งหากทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯไทยอีก ครั้งจริง ๆยิ่งไปกว่านั้น วิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ทำให้จอมอำมาตย์ต้องประสบกับความเสียหายเป็นอย่างมากจากการไปลงทุนจำนวนมาก ในยุโรป โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์ ใน กรีซ อิตาลี โปรตุเกส และสเปนจึงจำต้องด้านหน้าเรียกใช้ทักษิณให้มาช่วยกอบกู้ตนอีกครั้ง ทั้งทางเศรษฐกิจนอกประเทศและการเมืองในประเทศ นี่จึงเป็นที่มาของการยินยอมให้ทักษิณเคลื่อนไหวปรองดองขึ้น
ทักษิณแม้จะเป็นตัวแทนแห่งยุคทุนนิยม อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งของทักษิณ เขาก็เป็นผลผลิตของระบอบอำมาตย์ฯ และสำนึกตลอดเวลาว่าเขาเป็นข้าช่วงใช้ที่จงรักษ์ภักดีตลอดกาลของจอมอำมาตย์ แต่จอมอำมาตย์กลับมองว่าเขาทรยศเป็นกบฏ จะแย่งฐานะและอำนาจของเขาไปจึงต้องการกำจัดทักษิณเสีย แม้ทักษิณจะ ถูกกระทำจากเจ้านายของเขาอย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม ก็หาได้สั่นคลอนจิตวิญญาณทาสของเขาลงไปได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นความโลเล และการยอมจำนนสวามิภักดิ์ที่ไม่สิ้นสุดของเขา ตัวเขาเองจึงได้ทำลายความหวังของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยลงไปอย่าง น่าเสียดาย
จึงชี้ได้ว่า ธาตุแท้ของทักษิณก็คือ ชนชั้นปกครองพวกเดียวกันกับอำมาตย์นั่นเอง จึงไม่มีวันที่เขาจะปฏิวัติ แต่จะค้านการปฏิวัติอยู่ตลอดไป เราก็มองเห็นอีกว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เขานั่นแหละจะเป็นผู้ทำลายขบวนการคนเสื้อแดง และเมื่อทำลายเสร็จเขาก็จะถูกเจ้านายของเขากำจัดลงไปในที่สุด เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีกในประวัติศาสตร์ของศักดินาทั่วโลก เว้นแต่ว่าทักษิณจะสามารถปลดแอกจากจิตสำนึกทาสของตนเองได้ ซึ่งคงจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยาก ความโลเล และความจงรักษ์ภักดีของทักษิณ ในที่สุดก็จะทำลายตัวเขาลงไปด้วย และก็จะถูกประณามจากทั้งฝ่ายอำมาตย์และฝ่ายประชาชนว่าเป็นผู้ทรยศ ..... ช่างน่าเสียดายจริง ๆอย่างไรก็ตามไม่ว่าทักษิณจะร่วมในขบวนการประชาธิปไตยหรือไม่ การปฏิวัติประชาธิปไตยก็จะดำเนินต่อไป
สิ่งที่ควรกระทำต่อเขาในเวลานี้ก็คือ การให้คุณค่าแก่คุณูประการที่เขามีส่วนสำคัญทำให้ประชาชนจำนวนมากตื่นขึ้นมา เห็นความชั่วร้ายของระบอบอำมาตยาธิปไตย แล้วเข้าร่วมการต่อสู้ประชาธิปไตย เมื่อทักษิณไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ขั้นต่อไปและยังไม่หันมาเป็น ปฏิปักษ์ต่อประชาชน ก็ควรวางเขาไว้เป็น “มิตร” แต่จอมอำมาตย์คงไม่ยอมจะให้เป็นแค่เท่านั้น เมื่อ ปชป. ไม่สามารถจะเป็นเครื่องมือให้เขาได้ต่อไปแล้ว ก็จะกำจัดทิ้งเสียแล้วหันมาใช้ “เพื่อไทย” แทนชั่วคราวแล้วก็จะผลัก ทักษิณให้เข้ามาเผชิญหน้ากับประชาชนแทนตัวเองต่อไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณทาสของตัว ทักษิณ เองว่าจะมีอำนาจแรงเพียงใด ประชาชนเราไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงแทนทักษิณ ปล่อยให้เขาแบกปัญหาของตัวเขาเองไปก็แล้วกัน
อีกแง่มุมหนึ่ง ก็ต้องให้ความเป็นธรรมและความเห็นอกเห็นใจต่อทักษิณ เนื่องจากส่วนสำคัญของการดำรงอยู่และการทำมาหากินของทักษิณทุกวันนี้ มาจากความเกื้อหนุนอย่างเต็มที่ของเจ้าอาหรับทั้งหลาย ทั้ง ดิอิมิเร็ตส์และซาอุดิอารเบียคง ไม่เป็นการดีแน่นอนหากเขาจะโจมตีระบอบเจ้าไทย ที่จะมีผลกระทบต่อระบอบกษัตริย์ทั้งโลก เพื่อการดำรงอยู่ให้ได้โดยมีเจ้าแหรับคุ้มครองสนับสนุน เขาจึงไม่อาจเปิดศึกตรง ๆ กับเจ้าไทยได้ แม้จะอึดอัดแต่ก็ยังดีกว่าไปอยู่ที่อื่นอย่างแน่นอนข้อเท็จจริงอันนี้จึง ต้องนำมาพิจารณา
เรื่องอย่างนี้เป็นตลกร้าย ยากที่จะเข้าใจได้ เมื่อไม่มีทักษิณ โดยการทำลายของจอมอำมาตย์ หรือโดยตัวของเขาเองแล้ว เท่านั้นการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยจึงจะดำเนินต่อรุดหน้าไปได้โดยสะดวก ตามวิถีทางของมัน คุณูปการอย่างเดียวของทักษิณก็คือ กรณีของเขาทำให้ประชาชนไทยส่วนจำนวนมหาศาลได้หูตาสว่างขึ้นมาเห็นความชั่ว ร้ายทั้งปวงของระบอบอำมาตยาธิปไตยและตัดสินใจเข้าร่วมการปฏิวัติ
สรุป
ที่กล่าวมานี้ คงทำลายกำลังใจของคนที่ที่มีจิตใจเร่าร้อนต้องการที่จะเรียกชำระคืนหนี้แค้น และปรารถนาให้ประชาชนเราบรรลุชัยชนะโค่นล้มระบอบเผด็จการได้โดยเร็ว ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังจะต้องใจดำ ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ยากลำบากและเจ็บปวดแสนสาหัส ไม่มีทางลัด แม้นดูเหมือนว่าจะมี“ทางลัด” แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะพาผู้คนหวนกลับมาสู่ที่เดิมอยู่ดี เหมือนกับ การยึดอำนาจ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลานั้นราก็มีคณะราษฎร์ ก็มีลักษณะการนำที่ไม่แตกต่างไปจากที่เรามีอยู่ในเวลานี้ไม่มีผิดเพี้ยน
การนำโลเล ไม่ปฏิวัติ ไม่มีทฤษฎีชี้นำ ไร้ยุทธศาสตร์ และไร้เดียงสาทางการเมือง จึงสู้แบบปิดหูหลับตา สู้ไปกราบไป ราวกับเป็นนิยาย “ดาวพระศุกร์” ร้องหาแต่จะสามัคคีกับศัตรูที่ไม่อาจสามัคคีได้ ในอีกทางกลับละเลยไม่สนใจ และเหยียบย่ำมิตรที่แท้จริงของตน อย่างนี้จึงเกิดปรากฏการ “จะชนะอยู่แล้ว ก็ดันไปยอมรับการเจรจากับศัตรูที่กำลังเสียท่าจวนตาย เปิดโอกาสให้ศัตรูมันตั้งตัวได้แล้วหวนมาทำลายเข่นฆ่าฝ่ายตนเอง”เหล่านี้ เป็นผลมาจากวิธีคิดแบบกลไก ซึ่งเป็นพัฒนาการของลัทธิจิตนิยม มองเห็นเพียงด้านเดียว และหยุดนิ่ง บทเรียนเช่นนี้ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะในประเทศไทย แต่หากเกิดขึ้นทั่วโลกนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครนำมาไคร่ครวญทบทวนศึกษา
อย่างเวลานี้ น่าจะใช้การกดดันอย่างหนักต่อกระบวนการยุติธรรม อันเป็นเครื่องมือสุดท้ายของพวกเผด็จการที่เปราะบางที่สุด ถ้ารัฐบาลทำไม่ได้ ก็ให้เอาคนเสื้อแดงไปจัดการ คนเสื้อแดงที่กำลังฟัดกับมันอยู่ในแนวรบนี้ก็มีกำลังเบาบางเกินไป น่าจะระดมกับเป็นแสนเป็นล้านมาขับไล่มัน แต่ศูนย์การนำหลักกลับไม่ทำอะไร เมื่อละทิ้งโอกาสนี้แล้วในวันข้างหน้าเมื่อเราหมดกำลัง มันก็จะใช้ไอ้พวกศาลนี้แหละมาบดขยี้เราโดยไร้ปราณีอย่างที่แล้ว ๆ มา จนกระทั่งเมื่อ “อากง” เสียชีวิตในคุก จึงเกิดแรงประทุขึ้นมาอีกครั้ง นปช. จะอยู่เฉยก็คงไม่ได้ต้องออกมาแสดงตัว แม้จนกระทั่งเมื่อจตุพรถูกตัดสินให้สิ้นสภาพ ส.ส.จนบัดนี้ก็ไม่มีการช่วงชิงโอกาสขยายผลเข้าจู่โจมกระบวนยุติธรรม ปฏิกิริยาแต่อย่างใดสำหรับผู้เขียนดูไปแล้ว นปช. ที่ไม่เคยสรุปบทเรียนอะไรเลย ก็จะนำพาประชาชนไปเสียหายอีกเช่นเคย ซึ่งอันนี้เสื้อแดงจะไปตีพวยตีพายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ตอกย้ำว่า บทเรียนของประชาชนแต่ละบทนั้นช่างมีราคาแพงมากเสมอ และในที่สุดประชาชนก็จะสามารถสรุปบทเรียนของตนได้และก้าวรุดหน้าต่อไป
ที่เกริ่นมาตั้งนานนี้ เป็นการนำเสนอทางภววิสัยหนึ่งในมุมแคบ ๆ ผู้อ่านสมควรใคร่ครวญ ก่อนที่จะ อ่านต่อไป อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจริง ๆ บทความนี้ก็อยากจะให้ ทรรศนะต่อ “สงคราม” ที่คนบางส่วนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้อาจจะเป็นสิ่งที่น่าหดหู่สำหรับหลายคนที่กำลังเร่า ร้อนอยากลงโทษศัตรู และเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างขนานใหญ่รวดเร็วแต่ก็อยากให้กำลังใจว่านิดหนึ่งว่า บางทีสงครามอาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่หากมีเงื่อนไขครบถ้วนในการ ปฏิวัติทุกครั้งทุกแห่งในโลกก็ล้วนแล้วแต่ เริ่มจากไม่มีไปสู่มี จากเล็กไปสู่ใหญ่ จากความพ่ายแพ้ไปสู่ชัยชนะ ตามกฎแห่งพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าการปฏิวัติจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพอย่างฉับพลันทันทีทันใด แต่กระบวนการสะสมเชิงปริมาณก่อนที่จะเกิดการปฏิวัตินั้น ก็มีมาแล้วเป็นเวลานานอย่างเช่น การปฏิวัติคิวบาที่เริ่มต้นจากพลพรรคปฏิวัติเพียงแค่ ๑๒ คน เท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นขบวนการปฏิวัติคิวบาถูกปราบปราม ต้องประสบความพ่ายแพ้และสูญเสียมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว กรณีของไทยก็มีพัฒนาการมาก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นเวลานานเสียด้วยซ้ำ
มีตอนต่อไปครับ
และที่ใหม่ล่าสุดก็คือ การดัดแปลงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมผู้ผลิตไปสู่เศรษฐกิจแบบสังคมผู้บริโภค จากเศรษฐกิจผู้ผลิตที่ต้องตามใจความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านราคาและ คุณภาพ (เป็นฝ่ายถูกกระทำ) ไปเป็นเศรษฐกิจผู้บริโภคที่เป็นผู้กำหนดตลาด โดยการใช้อำนาจการซื้อมหาศาลและสร้างมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการใหม่ของ จีนที่ตนเป็นผู้กำหนด (เป็นฝ่ายกระทำ) ระบบเศรษฐกิจใหม่ของจีนนี้จะทำให้อเมริกาและยุโรปต้องกลายเป็นเศรษฐกิจผู้ ผลิตไปในที่สุดที่ต้องขึ้นอยู่กับความเมตตากรุณาและมาตรฐานใหม่ของจีน
ในแง่ของปัจเจกบุคคล อย่าง บิลเก็ท และ ทักษิณ ร่ำรวยขึ้นมาจากการค้า “เทคโนโลยี” โดยเฉพาะทักษิณหลัง จากที่ถูกทำลายในประเทศไทยแล้ว เขาก็เริ่มต้นใหม่ในการค้า “ทุน”ระดับสูง ในรูปของ “กรรมสิทธิ์” และสัมปทานต่าง ๆ ทั่วโลก พัฒนารูปแบบธุรกิจจาก “นายหน้า” มาเป็น “ผู้พัฒนาโครงการ” ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าจากของที่มีมูลค่าต่ำ (value added) หรือ สร้างมูลค่าขึ้นใหม่จากสิ่งที่ไม่มีค่า (value creation)คือ เอาโครงการหรือสัมปทานใด ๆ จากเจ้าของเดิมมาปรับปรุงเสียใหม่แล้วขายต่อออกไป เขาจึงมีรายได้จากกำไรส่วนต่างที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ และเหมืองเพชรและเหมืองแร่มีค่าใน แอฟริกา เป็นต้น เขายังเป็นผู้ร่วมบริหารกองทุนขนาดใหญ่ของอาหรับอีกอย่างน้อย ๔ กองทุน ในวิกฤติเศรษฐกิจโลกเขาเป็นผู้ส่งเสริมให้ทุนอาหรับไปร่วมมือกับทุนจีน ช่วยปูตินแก้ปัญหาเศรษฐกิจรัสเซีย และอาจมีส่วนให้ความเห็นการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ในประเด็นว่าควรจะเน้นที่การกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า มาตรการรัดเข็มขัดอย่างเดียว ซึ่งหมายถึง การเน้นหนักที่เศรษฐกิจภาคผลิตแท้จริง มากกว่าเศรษฐกิจภาคการเงิน ด้วย การเพิ่มการลงทุนและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตแนวทางที่โอลองด์ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนใหม่เสนอ เป็นแนวทางคู่ขนาน (dual tracks)อย่างเดียวกับที่ทักษิณเคยใช้ได้ผลในประเทศไทยมาก่อน (ระยะหลัง ๆ นี้ทักษิณไปฝรั่งเศสบ่อยมาก) ฯลฯ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พวกอำมาตย์แทนที่จะทำลายทักษิณลงได้กลับเป็นผู้ส่งเสริมเสียเองให้ทักษิณมี ฐานะร่ำรวยยิ่งกว่าเดิมและขึ้นไปมีบทบาทระดับเวทีโลก จนเงินหลายหมื่นล้านที่ถูกอำมาตย์ปล้นเอาไป และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยจึงกลายเป็นของเล็กน้อยเท่านั้น และมันจะเป็นความโง่เง้าอย่างยิ่งหากทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯไทยอีก ครั้งจริง ๆยิ่งไปกว่านั้น วิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ทำให้จอมอำมาตย์ต้องประสบกับความเสียหายเป็นอย่างมากจากการไปลงทุนจำนวนมาก ในยุโรป โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์ ใน กรีซ อิตาลี โปรตุเกส และสเปนจึงจำต้องด้านหน้าเรียกใช้ทักษิณให้มาช่วยกอบกู้ตนอีกครั้ง ทั้งทางเศรษฐกิจนอกประเทศและการเมืองในประเทศ นี่จึงเป็นที่มาของการยินยอมให้ทักษิณเคลื่อนไหวปรองดองขึ้น
ทักษิณแม้จะเป็นตัวแทนแห่งยุคทุนนิยม อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งของทักษิณ เขาก็เป็นผลผลิตของระบอบอำมาตย์ฯ และสำนึกตลอดเวลาว่าเขาเป็นข้าช่วงใช้ที่จงรักษ์ภักดีตลอดกาลของจอมอำมาตย์ แต่จอมอำมาตย์กลับมองว่าเขาทรยศเป็นกบฏ จะแย่งฐานะและอำนาจของเขาไปจึงต้องการกำจัดทักษิณเสีย แม้ทักษิณจะ ถูกกระทำจากเจ้านายของเขาอย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม ก็หาได้สั่นคลอนจิตวิญญาณทาสของเขาลงไปได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นความโลเล และการยอมจำนนสวามิภักดิ์ที่ไม่สิ้นสุดของเขา ตัวเขาเองจึงได้ทำลายความหวังของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยลงไปอย่าง น่าเสียดาย
จึงชี้ได้ว่า ธาตุแท้ของทักษิณก็คือ ชนชั้นปกครองพวกเดียวกันกับอำมาตย์นั่นเอง จึงไม่มีวันที่เขาจะปฏิวัติ แต่จะค้านการปฏิวัติอยู่ตลอดไป เราก็มองเห็นอีกว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เขานั่นแหละจะเป็นผู้ทำลายขบวนการคนเสื้อแดง และเมื่อทำลายเสร็จเขาก็จะถูกเจ้านายของเขากำจัดลงไปในที่สุด เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีกในประวัติศาสตร์ของศักดินาทั่วโลก เว้นแต่ว่าทักษิณจะสามารถปลดแอกจากจิตสำนึกทาสของตนเองได้ ซึ่งคงจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยาก ความโลเล และความจงรักษ์ภักดีของทักษิณ ในที่สุดก็จะทำลายตัวเขาลงไปด้วย และก็จะถูกประณามจากทั้งฝ่ายอำมาตย์และฝ่ายประชาชนว่าเป็นผู้ทรยศ ..... ช่างน่าเสียดายจริง ๆอย่างไรก็ตามไม่ว่าทักษิณจะร่วมในขบวนการประชาธิปไตยหรือไม่ การปฏิวัติประชาธิปไตยก็จะดำเนินต่อไป
สิ่งที่ควรกระทำต่อเขาในเวลานี้ก็คือ การให้คุณค่าแก่คุณูประการที่เขามีส่วนสำคัญทำให้ประชาชนจำนวนมากตื่นขึ้นมา เห็นความชั่วร้ายของระบอบอำมาตยาธิปไตย แล้วเข้าร่วมการต่อสู้ประชาธิปไตย เมื่อทักษิณไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ขั้นต่อไปและยังไม่หันมาเป็น ปฏิปักษ์ต่อประชาชน ก็ควรวางเขาไว้เป็น “มิตร” แต่จอมอำมาตย์คงไม่ยอมจะให้เป็นแค่เท่านั้น เมื่อ ปชป. ไม่สามารถจะเป็นเครื่องมือให้เขาได้ต่อไปแล้ว ก็จะกำจัดทิ้งเสียแล้วหันมาใช้ “เพื่อไทย” แทนชั่วคราวแล้วก็จะผลัก ทักษิณให้เข้ามาเผชิญหน้ากับประชาชนแทนตัวเองต่อไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณทาสของตัว ทักษิณ เองว่าจะมีอำนาจแรงเพียงใด ประชาชนเราไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงแทนทักษิณ ปล่อยให้เขาแบกปัญหาของตัวเขาเองไปก็แล้วกัน
อีกแง่มุมหนึ่ง ก็ต้องให้ความเป็นธรรมและความเห็นอกเห็นใจต่อทักษิณ เนื่องจากส่วนสำคัญของการดำรงอยู่และการทำมาหากินของทักษิณทุกวันนี้ มาจากความเกื้อหนุนอย่างเต็มที่ของเจ้าอาหรับทั้งหลาย ทั้ง ดิอิมิเร็ตส์และซาอุดิอารเบียคง ไม่เป็นการดีแน่นอนหากเขาจะโจมตีระบอบเจ้าไทย ที่จะมีผลกระทบต่อระบอบกษัตริย์ทั้งโลก เพื่อการดำรงอยู่ให้ได้โดยมีเจ้าแหรับคุ้มครองสนับสนุน เขาจึงไม่อาจเปิดศึกตรง ๆ กับเจ้าไทยได้ แม้จะอึดอัดแต่ก็ยังดีกว่าไปอยู่ที่อื่นอย่างแน่นอนข้อเท็จจริงอันนี้จึง ต้องนำมาพิจารณา
เรื่องอย่างนี้เป็นตลกร้าย ยากที่จะเข้าใจได้ เมื่อไม่มีทักษิณ โดยการทำลายของจอมอำมาตย์ หรือโดยตัวของเขาเองแล้ว เท่านั้นการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยจึงจะดำเนินต่อรุดหน้าไปได้โดยสะดวก ตามวิถีทางของมัน คุณูปการอย่างเดียวของทักษิณก็คือ กรณีของเขาทำให้ประชาชนไทยส่วนจำนวนมหาศาลได้หูตาสว่างขึ้นมาเห็นความชั่ว ร้ายทั้งปวงของระบอบอำมาตยาธิปไตยและตัดสินใจเข้าร่วมการปฏิวัติ
สรุป
ที่กล่าวมานี้ คงทำลายกำลังใจของคนที่ที่มีจิตใจเร่าร้อนต้องการที่จะเรียกชำระคืนหนี้แค้น และปรารถนาให้ประชาชนเราบรรลุชัยชนะโค่นล้มระบอบเผด็จการได้โดยเร็ว ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังจะต้องใจดำ ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ยากลำบากและเจ็บปวดแสนสาหัส ไม่มีทางลัด แม้นดูเหมือนว่าจะมี“ทางลัด” แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะพาผู้คนหวนกลับมาสู่ที่เดิมอยู่ดี เหมือนกับ การยึดอำนาจ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลานั้นราก็มีคณะราษฎร์ ก็มีลักษณะการนำที่ไม่แตกต่างไปจากที่เรามีอยู่ในเวลานี้ไม่มีผิดเพี้ยน
การนำโลเล ไม่ปฏิวัติ ไม่มีทฤษฎีชี้นำ ไร้ยุทธศาสตร์ และไร้เดียงสาทางการเมือง จึงสู้แบบปิดหูหลับตา สู้ไปกราบไป ราวกับเป็นนิยาย “ดาวพระศุกร์” ร้องหาแต่จะสามัคคีกับศัตรูที่ไม่อาจสามัคคีได้ ในอีกทางกลับละเลยไม่สนใจ และเหยียบย่ำมิตรที่แท้จริงของตน อย่างนี้จึงเกิดปรากฏการ “จะชนะอยู่แล้ว ก็ดันไปยอมรับการเจรจากับศัตรูที่กำลังเสียท่าจวนตาย เปิดโอกาสให้ศัตรูมันตั้งตัวได้แล้วหวนมาทำลายเข่นฆ่าฝ่ายตนเอง”เหล่านี้ เป็นผลมาจากวิธีคิดแบบกลไก ซึ่งเป็นพัฒนาการของลัทธิจิตนิยม มองเห็นเพียงด้านเดียว และหยุดนิ่ง บทเรียนเช่นนี้ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะในประเทศไทย แต่หากเกิดขึ้นทั่วโลกนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครนำมาไคร่ครวญทบทวนศึกษา
อย่างเวลานี้ น่าจะใช้การกดดันอย่างหนักต่อกระบวนการยุติธรรม อันเป็นเครื่องมือสุดท้ายของพวกเผด็จการที่เปราะบางที่สุด ถ้ารัฐบาลทำไม่ได้ ก็ให้เอาคนเสื้อแดงไปจัดการ คนเสื้อแดงที่กำลังฟัดกับมันอยู่ในแนวรบนี้ก็มีกำลังเบาบางเกินไป น่าจะระดมกับเป็นแสนเป็นล้านมาขับไล่มัน แต่ศูนย์การนำหลักกลับไม่ทำอะไร เมื่อละทิ้งโอกาสนี้แล้วในวันข้างหน้าเมื่อเราหมดกำลัง มันก็จะใช้ไอ้พวกศาลนี้แหละมาบดขยี้เราโดยไร้ปราณีอย่างที่แล้ว ๆ มา จนกระทั่งเมื่อ “อากง” เสียชีวิตในคุก จึงเกิดแรงประทุขึ้นมาอีกครั้ง นปช. จะอยู่เฉยก็คงไม่ได้ต้องออกมาแสดงตัว แม้จนกระทั่งเมื่อจตุพรถูกตัดสินให้สิ้นสภาพ ส.ส.จนบัดนี้ก็ไม่มีการช่วงชิงโอกาสขยายผลเข้าจู่โจมกระบวนยุติธรรม ปฏิกิริยาแต่อย่างใดสำหรับผู้เขียนดูไปแล้ว นปช. ที่ไม่เคยสรุปบทเรียนอะไรเลย ก็จะนำพาประชาชนไปเสียหายอีกเช่นเคย ซึ่งอันนี้เสื้อแดงจะไปตีพวยตีพายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ตอกย้ำว่า บทเรียนของประชาชนแต่ละบทนั้นช่างมีราคาแพงมากเสมอ และในที่สุดประชาชนก็จะสามารถสรุปบทเรียนของตนได้และก้าวรุดหน้าต่อไป
ที่เกริ่นมาตั้งนานนี้ เป็นการนำเสนอทางภววิสัยหนึ่งในมุมแคบ ๆ ผู้อ่านสมควรใคร่ครวญ ก่อนที่จะ อ่านต่อไป อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจริง ๆ บทความนี้ก็อยากจะให้ ทรรศนะต่อ “สงคราม” ที่คนบางส่วนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้อาจจะเป็นสิ่งที่น่าหดหู่สำหรับหลายคนที่กำลังเร่า ร้อนอยากลงโทษศัตรู และเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างขนานใหญ่รวดเร็วแต่ก็อยากให้กำลังใจว่านิดหนึ่งว่า บางทีสงครามอาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่หากมีเงื่อนไขครบถ้วนในการ ปฏิวัติทุกครั้งทุกแห่งในโลกก็ล้วนแล้วแต่ เริ่มจากไม่มีไปสู่มี จากเล็กไปสู่ใหญ่ จากความพ่ายแพ้ไปสู่ชัยชนะ ตามกฎแห่งพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าการปฏิวัติจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพอย่างฉับพลันทันทีทันใด แต่กระบวนการสะสมเชิงปริมาณก่อนที่จะเกิดการปฏิวัตินั้น ก็มีมาแล้วเป็นเวลานานอย่างเช่น การปฏิวัติคิวบาที่เริ่มต้นจากพลพรรคปฏิวัติเพียงแค่ ๑๒ คน เท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นขบวนการปฏิวัติคิวบาถูกปราบปราม ต้องประสบความพ่ายแพ้และสูญเสียมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว กรณีของไทยก็มีพัฒนาการมาก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นเวลานานเสียด้วยซ้ำ
มีตอนต่อไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น