ที่มา : Thai E-News
ข้อพิจารณาเรื่อง สถานการณ์การเมือง และความคืบหน้า 'พ.ร.บ.นิรโทษกรรม'
โดย กานต์ ยืนยง
ใน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์การเมืองโดยทั่วไปไม่ร้อนแรงอย่างที่คาดคิด
เพราะประชาชนทั่วไปไม่ได้ให้ความสนใจมาก
คิดว่าเพราะสาเหตุหลักคือเบื่อหน่ายความขัดแย้ง (ดูสวนดุสิตโพล[1])
ทั้งเผอิญมีข่าวที่น่าสนใจเข้ามาในจังหวะเดียวกัน คือ
การเยือนเมืองไทยของทีมบาร์เซโลนา และการแต่งงานระหว่าง เจนี่
เทียนโพธิ์สุวรรณ วัย 32 ปี และหนุ่มใหญ่นักการเมืองชื่อดังวัย 45 ปี
เอ๋-ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม
ในขณะที่ปัจจัยภายในของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล-ทักษิณนั้น
ได้แตกออกเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่ม (1) กปท. (กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ)
และคณะเสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) นำโดย พล.อ.ปรีชา
เอี่ยมสุพรรณ ซึ่งมีการชุมนุมมวลชนที่เวทีสวนลุมพินี, (2)
เวทีผ่าความจริงพรรคประชาธิปัตย์ และ (3)
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งยังอยู่ในที่ตั้ง
การที่มีการแบ่งมวลชนออกไปหลายกลุ่ม
และไม่มีการดำเนินการที่เป็นเอกภาพกันจึงทำให้ทอนกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลง
ไปมาก
นอกจากนี้ท่าทีที่ไม่ชัดเจนในการดำเนินการทางการเมืองของประชาธิปัตย์
ว่าจะใช้การเมืองนอกสภา หรือในสภาในการต่อสู้ทางการเมือง
จึงทำให้มีลักษณะกลับไปกลับมา
ซึ่งเมื่อมองจากปีกการเมืองสายปฏิรูปของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งน่าจะมีกำลัง
อยู่ไม่น้อยแต่แสดงออกผ่านทางท่าทีของ คุณอลงกรณ์ พลบุตร
ก็น่าจะมองได้ว่าการแสดงออกดังกล่าวมีทิศทางที่ก้าวร้าวและไม่สนับสนุนระบอบ
ประชาธิปไตย
ในขณะที่ปีกการเมืองอีกสายหนึ่งก็คงจะมองว่าการแสดงออกดังกล่าวไม่เข้มแข็ง
และไม่มีลักษณะแตกหักดังที่ควรจะเป็น
คุณอภิสิทธิ์และเครือข่ายนักการเมืองรุ่นใหม่ที่รายล้อมเขาอยู่ก็เลือก
เหมือน ๆ ที่เคยเลือกมาคือเอียงไปทางปีกการเมืองที่ต้องการ “ชน” กับรัฐบาล
อย่างไรก็ตามคำตัดสินของศาลอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี 6
ศพที่วัดปทุมวนาราม ก็คงจะไม่เป็นผลดีกับ คุณอภิสิทธิ์
และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์มากนัก
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้อง
และญาติผู้ตายทั้งหกคน อันประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม
และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายที่ 1
และที่ 3-6 ถึงแก่ความตายเพราะถูงยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ขนาด .223
หรือ 5.56 ม.ม. จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม
กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ที่ประจำการอยู่บนรถไฟฟ้า
และผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายเพราะถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ขนาด
.223 หรือ 5.56 มมม. จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 2
กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ที่ประจำการอยู่บนถนนพระรามที่ 1
จึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายที่ 1- 6 ถึงแก่ความตายในวัดปทุมฯ เวลากลางวัน
เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 เหตุและพฤติกรรมที่ตาย
เนื่องจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนมาจากเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส บริเวณระหว่างถนนพระราม 1 และหน้าวัดปทุมฯ ในการควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศอฉ.เป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุปอดและหัวใจเสียโลหิตปริมาณมาก[2]
ในทางการเมือง นี่จะทำให้ผู้รับผิดชอบต่อคำสั่งในขณะนั้น
ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง
ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธาน
ในขณะนั้นจะปฏิเสธความรับผิดชอบทางการเมืองได้ยาก
ปัจจัยนี้คงจะเป็นตัวแปรหนึ่ง
ที่ทำให้เอาเข้าจริงแล้วแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์
ยังต้องชั่งน้ำหนักในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่าจะ “ชน”
กับรัฐบาลอย่างเต็มตัวหรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันต้องยอมรับว่าโมเมนตัมของฝ่ายต่อ
ต้านรัฐบาลยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอในการเคลื่อนไหวมากนัก
สำหรับการตอบโต้ของรัฐบาลที่ผ่านมามีทั้ง (1) การออก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
(นายกรัฐมนตรีได้สั่งยกเลิกไปแล้ว)
ทำให้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดเส้นทางโดยรอบรัฐสภา (2)
การออกคำสั่งห้ามกดไลค์ ห้าม แชร์ บน social media ของ
กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ หรือแม้แต่ (3) การไม่ถ่ายทอดสดการอภิปราย
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในสภา เป็นต้น
มาตรการเหล่านี้คงพอจะประเมินได้ว่ารัฐบาลมีความกังวลกับสถานการณ์มากเกิน
จริง จนทำให้มองได้ว่ามีการออกมาตรการที่เกินจำเป็นกว่าสถานการณ์ออกมาใช้
แต่อย่างไรก็ตามอาจเป็นผลมาจากการข่าวกรองภายในของรัฐบาลที่ไม่เป็นที่เปิด
เผยก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงคือ ฝ่ายตรงข้ามปลุกมวลชนไม่ขึ้น (จำนวนมวลชน
เวทีผ่าความจริงมี 2 - 3 พัน คน, จำนวนมวลชน กปท. ที่สวนลุมฯ มี 800 –
1,000 คน เป็นต้น)
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ก็ทราบถึงจุดอ่อนของตนเอง
จึงพยายามรอและคงกำลังของตนเอาไว้
มวลชนจากสันติอโศกเข้ามาที่พื้นที่สวนลุมฯ เพื่อช่วยตรึงสถานการณ์
คนเหล่านี้เป็นมวลชนที่ไม่ใช้เงินเป็นต้นทุนสนับสนุนสูง
พวกเขาสามารถปักหลักพักค้างได้
ทำให้อาจมองได้ว่าการตรึงกำลังดังกล่าวน่าจะรอสถานการณ์จำเพาะ 2 เรื่องคือ
(1) การนิรโทษกรรมให้กับคุณทักษิณ
ถ้าฝ่ายรัฐบาลพยายามเคลื่อนไหวในเรื่องนี้โดยเชื่อมโยงกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
(ซึ่งในปัจจุบันคงทำได้ไม่ง่ายในช่วงแปรญัตติ
แม้จะมองได้ว่ายังมีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอีกหลายฉบับที่ถูกมองว่า
มีการนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมคุณทักษิณอยู่ด้วย ค้างอยู่ในสภาก็ตาม)
หรือต่อให้ไม่มีก็ฝ่ายต่อต้านก็คงพยายามดึงให้ไปเกี่ยวข้องอยู่ดี และ (2)
สถานการณ์เรื่องคำตัดสินปราสาทพระวิหาร อาจผสมด้วยการโยกย้ายทหาร,
ช่วงระยะเวลาที่คาดว่าจะมีปัญหา
หรือกำหนดการเตรียมเคลื่อนใหญ่น่าจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม
รัฐบาลก็คงจะอ่านความเสี่ยงทางการเมืองเหล่านี้ออก
นายกรัฐมนตรีจึงให้ คุณวราเทพ รัตนากร และ คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา
ดำเนินการเรื่องสภาปฏิรูป และการปรองดอง แต่อย่างไรก็ดี
ในขณะนี้มีหลายฝ่ายดำเนินการเรื่อง เวทีสานเสวนา - การปรองดองอยู่แล้ว เช่น
กลุ่มสันติวิธี ทั้งจาก สถาบันพระปกเกล้า มหาวิทยาลัยมหิดล ฯลฯ
ในความเป็นจริงรัฐบาลควรจะให้การสนับสนุน และขอข้อสรุปเวทีเหล่านั้น
มากกว่าไปลงมือทำเอง เพราะจะถูกมองว่าไม่เป็นกลาง
และฝ่ายตรงข้ามก็จะปฏิเสธการเข้าร่วม ซึ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง
(ยกเว้นว่าจะมองว่าเป็นการสร้างภาพทางการเมืองซึ่งไม่จำเป็นสำหรับรัฐบาลนี้
เพราะมีภาพบวกจากเรื่องอื่นอยู่แล้ว) จะไปซ้ำรอยประชาธิปัตย์
ทั้งนี้ภาพใหญ่ของรัฐบาลคือ จำเป็นจะต้องมีการขับเคลื่อนเรื่อง การปรองดอง +
การปฏิรูปโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน อย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือทำ double
play
ในลักษณะเดียวกับการเล่นเบสบอลที่การเล่นของฝ่ายป้องกันในรอบเดียวจะต้องทำ
ให้ผู้เล่นฝ่ายรุกถูกออกจากฐานพร้อมกันทั้งสองคน
คือเป็นการกำจัดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง
และการแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการขนส่งซึ่งล้าสมัยมา
นาน เรื่องพวกนี้ต้องทำให้เกิดผลจริง ไม่ใช่การสร้างภาพ
นอกจากนี้เรื่องนี้อันที่จริงก็มีความชอบธรรม
เพราะไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ตามขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็จำเป็นจะต้องดำเนินนโยบาย
ตามแนวทางนี้
เพื่อเตรียมประเทศรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกที่กำลังมาถึง
เมื่อพิจารณาถึงพื้นฐานความขัดแย้ง
ก็จะพบว่าความขัดแย้งในขณะนี้แก้ไขยาก เพราะขัดแย้งถึงระดับรากฐาน
ฝ่ายเสื้อแดงอาจมองได้ว่า ทำไมฝ่าย "เสื้อเหลือง" รัฐประหาร
ซึ่งมีความผิดสูงสุดเพราะเป็นการล้มรัฎฐาธิปัตย์
แต่ผู้กระทำการกลับไม่ต้องรับโทษอะไรเลย
มีการบรรจุมาตราที่ย้ำเรื่องนี้เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
ถ้าหากจะมองไปก็แทบไม่ต่างอะไรกับการนิรโทษกรรมให้กับตนเอง
และนอกจากนั้นก็มีใช้กระบวนการไม่ถูกต้องในการเอาผิดคุณทักษิณ (หรือพูดง่าย
ๆ คือมีปัญหาเรื่อง due process) ซึ่งถ้าเคร่งครัดเรื่องกฎหมายจริง
ต่อไปนี้จะไม่สามารถเอาผิดคุณทักษิณได้อีกเลย เพราะ due process
ผิดแต่ต้นความผิดที่ได้ตัดสินกับคุณทักษิณไปแล้วจะเป็นอันโมฆะ
และจะย้อนกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ก็ไม่ได้
เพราะกฎหมายห้ามพิจารณาคดีสองครั้งในเรื่องเดิม
(ดูตัวอย่างคดีอาชญากรสงคราม จอมพล ป พิบูลสงคราม[3])
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(4) เป็นหลักการห้ามดำเนินคดีซ้ำสองแก่จำเลย
อันเป็นการสอดคล้องกับหลักสากลซึ่งเรียกกันในภาษาลาตินว่า Non bis in idem
ความขัดแย้งโดยพื้นฐานนี้
พัฒนามาถึงจุดที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องเอาชนะกันให้ได้เด็ดขาด
แต่ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของไทย
ไม่ได้มีความขัดแย้งขนาดใหญ่เหมือนในต่างประเทศ
และในขณะเดียวกันทางสากลที่จับตามองอยู่
รวมถึงข้อเท็จจริงคือทั้งสองฝ่ายยังคงมีกำลังก้ำกึ่งกัน
แต่ข้อเท็จจริงพื้นฐานคือ ทั้งสองฝ่ายต่างประสบความสูญเสีย
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเสื้อแดง เสื้อเหลืองหรือฝ่ายไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
หรือแม้แต่ฝ่ายที่ไม่มีสี
เช่นญาติของมวลชนฝ่ายเสื้อแดงที่เสียชีวิตในระหว่างชุมนุม, คุณนิชา
หิรัญบูรณะ ธุวธรรม และนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด
(น้องเกด) เป็นต้น ทุกฝ่ายต่างก็ต้องการความจริง
และมีปมปริศนาบางอย่างที่ยังคลี่คลายไม่ได้เช่นคนเสื้อดำ
ข้อมูลเท่าที่ผมทราบมามีปฏิบัติการจริง และมีมากกว่านั้น
และไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใคร เราพร้อมจะรื้อฟื้นหรือไม่
และถ้ารื้อฟื้นแล้วจะยอมรับได้หรือไม่ และให้อภัยได้จริงหรือไม่
เรื่องเหล่านี้คงจะเป็นสิ่งยุ่งยากในตอนนี้
เพราะแม้แต่ผู้ต้องขังจากคดีการทำความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112
ทุกฝ่ายก็ไม่อยากเอาขึ้นพิจารณาบนโต๊ะเจรจาด้วยซ้ำ
นี่ยังไม่นับปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้
ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ของสังคมไทยที่ผูกกับเรื่องศาสนาด้วย
แม้จะไม่ชัดเจนก็ตาม
[2] ดู http://www.dailynews.co.th/crime/224274
[3] ใน
คดีนั้นคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามได้ยื่นฟ้องจอมพล ป.
พิบูลสงคราม นายเพียร ราชธรรมนิเทศ และนายสังข์ พัฒโนทัย
กล่าวหาเป็นใจความว่าสมัครใจเข้าร่วมสงครามรุกรานกับญี่ปุ่น
โดยร่วมยุทธทาง
ประเทศพม่ากับโฆษณาชักชวนให้เห็นชอบในการทำสงครามรุกราน
การกระทำหลังสุดที่โจทก์หาว่าจำเลยได้กระทำผิด เกิดระหว่างวันที่ 16
กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2486
ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงคาม พุทธศักราช 2488 มาตรา 3(1)
และมาตรา 4 ขอให้ริบทรัพย์และเพิกถอนสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย
พระราชบัญญัติดัง
กล่าวมีบทบัญญัติว่า
ไม่ว่าการกระทำอันบัญญัติว่าเป็นอาชญากรสงครามนั้นจะได้กระทำก่อนหรือหลัง
วันใช้พระราชบัญญัตินี้ผู้กระทำได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรสงคราม
และจะต้องได้รับโทษดังที่บัญญัติไว้ทั้งสิ้น คดีนี้คือ
คดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2-4/2489
ซึ่งศาลฎีกาโดยพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์เป็นเจ้าของสำนวนร่วมวินิจฉัยกับ
พระยาเลขวณิชธรรมวิทักษ์
พระยาธรรมบัณฑิตสิทธิศฤงคารและพระชัยประชาเป็นองค์คณะ
ได้ชี้ขาดว่าพระ
ราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488
เฉพาะที่บัญญัติย้อนหลังให้การกระทำ
ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติด้วยนั้น
ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและเป็นโมฆะ การกระทำที่โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยได้กระทำผิดเกิดก่อนวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2488
อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติอาชญากรสงครามได้ออกใช้ทั้งสิ้น
เมื่อบทบัญญัติที่โจทก์ฟ้องขอให้เอาผิดแก่จำเลยเป็นโมฆะอันจะลงโทษจำเลยไม่
ได้ ศาลฎีกาจึงไม่ฟังคำพยานหลักฐานของโจทก์ในเรื่องนี้ต่อไปอีก
แล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป
ดูข้อมูล: http://www.museum.coj.go.th/SpPerson/Article07.pdf
ดูข้อมูล: http://www.museum.coj.go.th/SpPerson/Article07.pdf
ขอบคุณภาพประกอบข่าวจาก The Nation โพสทูเดย์ เดลินิวส์ คมชัดลึก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น