เหยื่อ วีรชน กับอุดมการณ์
"การเข้าใจเรียนรู้ถึงอุดมการณ์ของวีรชนนักสู้
เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ถูกปกปิดบิดเบือนไป ให้เป็นเพียงเหยื่อสังหาร
และอุบัติเหตุทางการเมือง โดยเฉพาะการปฏิเสธ “แนวทางสังคมนิยม” ที่
เป็นกระแสในหมู่คนหนุ่มสาวขณะนั้น
แม้แต่การลอบสังหารเลขาธิการพรรคสังคมนิยมเมื่อต้นปี 2519
ก็ถูกลืมเลือนจากสังคมไทยไปแล้ว"
โดย ยังดี โดมพระจันทร์
เรื่องราวสีเทาๆ กับความทรงจำในประวัติศาสตร์
การจัดงานรำลึกถึงวีรชนกรณีกวางจูที่เกาหลีใต้
ในเดือนพฤษภาคมทุกปีมีการจัดงานรำลึกถึงวีรชน
เพื่อตอกย้ำประวัติศาสตร์เหตุการณ์การลุกขึ้นสู้ของประชาชนเมืองกวางจู
กับเผด็จการทหาร(Gwangju People Uprising)รูปธรรมก็คือ การอธิบายถึงเหตุการณ์โดยไม่ประณามรัฐบาลและกลุ่มนายทหารที่ร่วมมือกันก่อ อาชญากรรม โดยเน้นภาพเหยื่อผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจากการถูกลูกหลงแทน เช่น เหยื่อเสียชีวิตในบ้านขณะนั่งกินข้าว หรือไปซื้อของ เสียชิวิตจากเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มนักศึกษาประชาชนที่เข้าร่วมจับอาวุธต่อสู้ หรือกลุ่มนักศึกษาที่มีองค์กรจัดตั้ง เป็นต้น การเลือกที่จะเสนอ “ความเป็นเหยื่อ” สร้างภาพ และเรื่องราวสีเทาๆ เหล่านี้เป็นการจงใจบิดเบือนประวัติศาสตร์หรือไม่???
จาก 6 ตุลา 2519 เราเคยมีรัฐบาลของประชาชนหรือไม่???
หันมามองสังคมไทย อาชญากรรมรัฐในเหตุการณ์ 6 ตุลา ในความเห็นของนักวิชาการหลายคน เรื่องของเหตุการณ์นองเลือดไม่มีอะไรลึกลับ และทุกวันนี้ถึงแม้ว่าเราจะขาดข้อมูลบางประการ โดยเฉพาะข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐว่าใครสั่ง หน่วยอะไรวางแผน และปฏิบัติงานอย่างไร แต่ข้อมูลจากสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ เช่นหนังสือพิมพ์ในยุคนั้น ตลอดจนบทความในยุคต่อมา รวมกับความทรงจำของผู้ที่เกี่ยวข้องก็สามารถประกอบเป็นภาพรวม ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้สำหรับคนรุ่นใหม่ แต่ในที่สุดคำถามที่ว่าใครสั่งฆ่าประชาชนก็ยังไม่มีคำตอบ
ดร.ธงชัย วินิจจะกูล เสนอเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้เราไม่มีประวัติศาสตร์สาธารณะของเหตุการณ์นี้ ว่าฝ่ายที่ได้รับ “ชัยชนะ” ในวันนั้นเป็นฝ่ายที่มีส่วนโดยตรงหรือทางอ้อมในการปราบปราม ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีอำนาจและอิทธิพลในสังคมไทย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับ 6 ตุลา
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สรุปว่าประวัติศาสตร์ 6 ตุลา เป็นประวัติศาสตร์ของผู้ชนะ ซึ่งลักษณะนี้ต่างกับประวัติศาสตร์ที่มีความเจ็บปวดและบาดแผลในประเทศอื่น บางประเทศที่ได้รับการชำระไปแล้ว เนื่องจากการชำระดังกล่าวส่งเสริมอุดมการณ์และอำนาจของรัฐปัจจุบันในประเทศ นั้นๆ ที่ต้องขีดเส้นใต้เพราะ เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ผ่านมากว่า 35 ปี เราเคยมีรัฐบาลของประชาชนจริงหรือ???
การปฏิเสธ “แนวทางสังคมนิยม” จาก 6 ตุลาทำให้อุดมการณ์พร่าเลือน
การเข้าใจเรียนรู้ถึงอุดมการณ์ของวีรชนนักสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ถูกปกปิดบิดเบือนไป ให้เป็นเพียงเหยื่อสังหาร และอุบัติเหตุทางการเมือง โดยเฉพาะการปฏิเสธ “แนวทางสังคมนิยม” ที่เป็นกระแสในหมู่คนหนุ่มสาวขณะนั้น แม้แต่การลอบสังหารเลขาธิการพรรคสังคมนิยมเมื่อต้นปี 2519 ก็ถูกลืมเลือนจากสังคมไทยไปแล้ว
ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ให้ข้อสรุปว่า 6 ตุลา เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ยากที่จะมีผู้ร้ายฝ่ายเดียวที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นผู้ร้าย ไม่เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2519 ที่สังคมโดยรวมยอมสรุปว่าเป็นเพราะความผิดของเผด็จการทหาร ดังนั้น 6 ตุลา จึงถูกทำให้ “ลืม” มากกว่าการจดจำ
เวลาผ่านไป สังคมไทยเปลี่ยนจากการมองว่านักศึกษาเป็นผู้กระทำผิด มาเป็นการมองนักศึกษาว่าเป็น “เหยื่อ” ที่น่าเห็นใจ
แต่กระแสหลักในสังคมกำหนดเงื่อนไขในการ “ให้อภัย” นักศึกษาว่าจะต้องมีการเลิกตั้งข้อสงสัยต่างๆ พร้อมกันไป เพื่อสิ่งที่ ดร.ธงชัย เรียกว่า “การหุบปากเหยื่อเพื่อสมานฉันท์สังคม” เมื่อ นำมาเทียบกับเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553 แล้ว การที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนพยายามเสนอการปรองดอง น่าจะกล่าวได้ว่าเป็นการหุบปากเหยื่อเช่นกัน
ขบวนการคนเสื้อแดง และผู้รักประชาธิปไตยคงต้องสำรวจตรวจสอบ และร่วมกันพิจารณาอย่างจริงจังว่า เราจักสืบทอด ความเป็นเหยื่อ เชิดชูวีรชน หรือ ยึดถืออุดมการณ์??? จะให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้อย่างไร จะสามารถจดจำความจริงที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ ความจริงไม่ใช่เพียงจำนวนกระสุนสังหาร จำนวนศพ และการลำดับเหตุการณ์ แต่ความจริงของไพร่กับอำมาตย์ อุดมการณ์ที่เราหวงแหน ความขัดแย้งทางชนชั้นที่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ อาชญากรรมรัฐที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ อย่าลืม!!
(ข้อมูลจากหนังสือ “อาชญากรรมรัฐในวิกฤตการเปลี่ยนแปลง 6 ตุลาคม 2519” เว็บไซต์ www.2519.net)
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น