โดย ชยิกา วงศ์นภาจันทร์
www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364448117&grpid=&catid=02&subcatid=0207
หลังรัฐบาลจัดนิทรรศการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาทเป็นที่น่าสังเกตว่าฝ่ายค้านได้ตั้งประเด็นคำถาม และข้อสังเกตมากมายและที่สุดยืนยันว่า "ไม่เห็นด้วย" พร้อมประกาศว่าจะ "ค้านถึงที่สุดในการกู้เงินนอกระบบงบประมาณโดยรัฐบาล"
อีก
ทั้งยังกระหน่ำซ้ำด้วยการสร้างวาทกรรมให้ประชาชนเชื่อว่า "ร่าง
พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.....คือ
ภาระหนี้ที่ประชาชนต้องใช้ในระยะเวลา 50 ปีต่อจากนี้ในการใช้หนี้
เป็น
การกู้หนี้นอกระบบงบประมาณ ตบท้ายด้วยการพยายามจะบอกว่าร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2
ล้านล้านบาท ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และเข้าข่าย "ผิดกฎหมาย" โดยเฉพาะ
พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ ที่ออกมาในยุครัฐบาลทักษิณ
แต่สิ่งที่ฝ่าย
ค้านไม่ได้บอกประชาชน คือ หนี้ที่จะเกิดจากร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทนี้
เป็น "หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ใหม่สำหรับประชาชน"
โดยจะเป็นการลงทุน
โครงสร้างพื้นฐานของประเทศในระยะยาว เพื่อลดต้นทุนในการเดินทางและขนส่ง
ซึ่งจะไปเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต
เป็นการ
เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อให้ไทยเป็น
"ศูนย์กลางอาเซียน" ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการกู้เงิน
โดย พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้าน ของโครงการไทยเข้มแข็งสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ
เนื่องจากโครงการไทยเข้มแข็งนั้นเน้นการลงทุนในโครงการ
ขนาดเล็กแล้วกระจายไปทั่วประเทศ
แต่กลับกลายเป็นการขาดวิสัยทัศน์ที่จะวางรากฐานระยะยาวให้กับประเทศ
จน
ทำให้เกิดปัญหาด้านความโปร่งใสของโครงการทั้งก่อนและหลังโครงการ
ตัวอย่างจะเห็นได้จาก "โครงการถนนไร้ฝุ่น" ของกระทรวงคมนาคม
ที่ก่อสร้างเสร็จล่าช้ากว่ากำหนด
หรือโครงการตู้หยอดน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้งานไม่ได้จริง
หรือโฆษณาที่ติดหูประชาชนอย่างกิจกรรมจัดหางาน "ต้นกล้า อาชีพ"
ที่มีเพียงแค่การ "ตั้งเป้า" อัตราการจ้างงาน
ขณะที่
พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ 2 ล้านล้านบาทนั้น กลับเป็น
"หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้"
เพราะมุ่งเน้นการยกระดับประเทศให้สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ
เท่าที่ประเทศไทยสามารถจะก้าวไปถึงได้
เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนในระดับเศรษฐกิจมหภาค
อย่างที่นายกฯ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ได้ย้ำผ่านแฟนเพจยิ่งลักษณ์ระหว่างการเยือนประเทศปาปัวนิวกินี ว่า
"แนวคิดที่รัฐบาลใช้ในการพัฒนาโครงสร้างของประเทศ คือ
(1)
เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งขาดการลงทุน
โครงการใหญ่ที่ต่อเนื่องมานาน ทำให้ประเทศอื่นเขาพัฒนาไปกว่าเรามาก
(2)
เป็นการเชื่อมโยงแนวคิดภายใต้กรอบ Connectivity
ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่ออาเซียน
และเกิดฐานการเชื่อมประชากร 600 ล้านคน นั้นคือ
โอกาสในการสร้างรายได้ของคนไทย
และการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนสู่อาเซียน
(3)
ประเทศไทยขาดการเชื่อมเส้นทางบก น้ำ
อย่างเชื่อมต่อเพื่อให้ต้นน้ำซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบ
ผ่านแหล่งอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลางน้ำ ไปยังปลายน้ำ ก็คือ การส่งออก
เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง รวมถึงร่นระยะเวลาการเดินทางนั้นหมายถึง
อาหารที่สดขึ้น ลดต้นทุนในการสูญเสีย
(4)
การเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น
เชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร-สุโขทัย-ตาก-อุตรดิตถ์
เพื่อดึงความเจริญ เพื่อเชื่อมเมืองท่องเที่ยว ทั้งนี้
ก็ไม่ใช่เพียงแต่เราจะมีรายได้เพิ่มแล้ว
เราจะดึงให้นักท่องเที่ยวอยู่นานขึ้นอีกด้วย
(5)
การเชื่อมเส้นทางโดยสาร เพื่อให้คนมีทางเลือก เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง
เพื่อลดค่าใช้จ่าย ปลอดภัยจากการใช้รถบนท้องถนน หลักการนี้
ยังกระจายความเจริญจากหัวเมืองไปยังชานเมือง ลดความแออัดให้คนกรุง
เติมเต็มความเจริญให้กับนอกเมืองตามยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
นั่นคือ เราจะทำให้เมืองชนบทนั้นเจริญขึ้น ก็คือ
รายได้ของประเทศที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับคุณภาพชีวิตที่สะดวกเร็ว
ลดค่าใช้จ่าย และความแออัดด้วย
ตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นผลลัพธ์ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่จะได้ค่าขนส่งที่ลดลง 2%
ในช่วงของการลงทุนมูลค่าจีดีพี (GDP) เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1% ต่อปี
และการจ้างงานประมาณ 500,000 อัตรา ซึ่งจะส่งผลทั้งความแข็งแรง
การหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต"
จึงเป็นที่
น่าสังเกตว่า เหตุใดฝ่ายค้านจึง "ดาหน้า"
กันออกมาค้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่า
"ไม่มีใครเถียงว่าโครงการต่างๆ ตามโครงสร้างพื้นฐานที่จะสร้างจากงบประมาณ 2
ล้านล้านไม่ดี แต่ค้านสุดสุดตรงที่จะใช้เงินนอกระบบมาเพื่อสามารถโยกงบได้"
เป็น
การใช้วาทกรรมง่ายๆ ให้ประชาชนเข้าใจผิด ว่าเป็นการ "กู้เงินนอกระบบ" ทั้งๆ
ที่ในข้อเท็จจริง การออก พ.ร.บ.เงินกู้ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2
ล้านล้านบาทนั้นเป็นการเสนอเรื่องผ่านเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เพื่อนำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ระบบการตรวจสอบจากรัฐสภา
ซึ่งเป็นกระบวนการปกติในการออกกฎหมาย
ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
ซึ่งแตกต่างจาก พ.ร.ก.เงินกู้ไทยเข้มแข็ง ที่เป็นเพียงโครงการแจ้งเพื่อทราบ ในรัฐสภาเท่านั้น
ที่
สำคัญคือ "ฝ่ายค้าน" ยังพยายามปรามาสเอาไว้ว่าร่าง
พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2
ล้านล้านบาทนั้นจะมีการโยกงบประมาณด้วยการจัดทำ
"ระเบียบพิเศษในการจัดซื้อจัดจ้าง" เช่นเดียวกับที่
พ.ร.ก.เงินกู้ไทยเข้มแข็ง ที่เคยทำมาแล้วในรัฐบาลชุดก่อน
แต่ทว่า
ด้วยเหตุและผลในการพยายาม "คัดค้าน" ของ "ฝ่ายค้าน" ในครั้งนี้
ยังไม่ได้มีการเสนอแนวทางในการดำเนินการที่สร้างสรรค์อย่างใดเลย
เพียงแต่พร่ำบอกว่า "ไม่ได้คัดค้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน" และค้านการออก พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
คำถามสำหรับการ "คัดค้าน" ครั้งนี้ ก็คงหนีไม่พ้นประโยคที่ว่า "ทางออกของประเทศอยู่ตรงไหน"?
หาก
"ฝ่ายค้าน" ยังคงคัดค้าน "ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน"
ในลักษณะที่ไม่เสนอทางออกที่สร้างสรรค์อยู่แบบนี้
แสดงว่าประเทศไทยจะไม่สามารถมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงได้ใช่หรือไม่?
ท้ายที่สุดคงต้องฝากให้ทุกฝ่ายช่วยกันตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะผงาดในเวทีประชาคมอาเซียน!!
ตอบลบร่างพ.ร.บ. เงินกู้ ตรวจสอบ บทบาทสภา บทบาท การเมือง
www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk5EUXdNRGs0TXc9PQ==§ionid=
หากถือว่าร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศเป็นโครงการร่วมจาก 2 ส่วน
1 จากกระทรวงคมนาคม 1 จากกระทรวงการคลัง
ต้องยอมรับว่า การทำงานระหว่าง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประสานและเข้าขากันอย่างดียิ่ง
ฝ่ายหนึ่ง ร่างโครงการ ฝ่ายหนึ่ง บริหารจัดการเรื่องงบประมาณ
หน่วยราชการที่เข้ามาเกี่ยวข้องนอกจากภายในกระทรวงคมนาคม นอกจากภายในกระทรวงการคลังแล้ว ที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ สำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เมื่อทุกอย่างมีความพร้อมมูลรายละเอียดของโครงการ รายละเอียดของร่างพ.ร.บ.ก็ผ่านมติและความเห็นชอบของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร
วันที่ 28 มีนาคม คือการพิจารณาวาระ 1
น่ายินดีที่รายละเอียดของโครงการมิได้ดำเนินไปอย่างที่เรียกกันว่างุบงิบ ตรงกันข้าม ระหว่างดำเนินการกระทำอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา
ไม่ว่าสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ล้วนแผ่แบออกมา
ไม่ว่าสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ซึ่งหลายส่วนให้ความสนใจเป็นพิเศษก็ทำความกระจ่างอย่างเป็นรูปธรรม
เช่นเดียวกับ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
การจัดนิทรรศการไทยแลนด์ 2020 ศูนย์ราชการ สร้างความฮือฮามากอยู่แล้ว การเดินสายของทั้ง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตลอดจนหัวขบวนของข้าราชการประจำ ไม่ว่าจะเป็นเวทีกรรมาธิการ เวทีโทรทัศน์ ยิ่งไม่มีอะไรเป็นความลับ
แผ่แบ โปร่งใส ตรงไปตรงมา
ประเด็นที่วางแบอยู่ ณ เบื้องหน้าประชาชน ไมว่าจะไปดูผ่านนิทรรศการไทยแลนด์ 2020 หรือเมื่อรับฟังจากปากของ 2 รัฐมนตรีเจ้าของงานอันเสมือนเป็นเจ้าภาพคือ
มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดต่อการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท
เป็นการลงทุนบนความมั่นใจเป็นอย่างสูงในความแข็งแกร่งของสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นการลงทุนเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐาน �ใหม่� ให้กับประเทศ
เป็นการลงทุนโดยไม่คิดที่จะไปกู้เงินจากต่างประเทศ หากแต่เป็นการกู้เงินจากภายในประเทศ ดอกเบี้ยก็ได้แก่ภายในประเทศ ผลงานก็ตกเป็นของคนไทยในประเทศ
เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทจึงทรงความหมาย
ทรงความหมายในความพร้อมของรัฐบาลว่าจะสามารถขับเคลื่อนสร้างความหวังให้กับประเทศและประชาชนได้มากน้อยเพียงใด ทรงความหมายในบทบาทของฝ่ายค้านเป็นพิเศษ
ค้านอย่างสร้างสรรค์ หรือขัดแข้งขัดขา