สังคมไทยกำลังก้าวไปสู่ การปฏิวัติประชาธิปไตยทุนนิยม
โดย คุณ สุรชัย แซ่ด่าน
ที่มา
thaienews.blogspot.com
สภาพ
การณ์ของสังคมไทยปัจจุบัน ที่เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนอย่างรุนแรง
ทำให้คนไทยโดยทั่วไปงุนงง ไม่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย
และทางออกจะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่จะเข้าใจเพียงว่า เพราะ พตท.ทักษิณ ชินวัตร
พรรคไทยรักไทย ที่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพรรคพลังประชาชนฝ่ายหนึ่ง
กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายหนึ่ง
ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน จนก่อให้เกิดปัญหาความแตกแยกในหมู่ประชาชน
ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ที่ลึกไปกว่านั้น ที่เป็นรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ จึงต้องทำความเข้าใจ
เพื่อจะได้ไม่วิตกกังวลและหาทางออกได้ถูกต้อง
สภาพการณ์ทางสังคมและการเมืองไทย มองย้อนกลับไปในอดีตกรณีเหตุการณ์ 14
ตุลาคม 2516 ปรากฏการณ์ที่เป็นภาพที่คนโดยทั่วไปเข้าใจ
คือนักศึกษาและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการณ์ จอมพลถนอม
กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร
ออกจากตำแหน่งเท่านั้น แต่เนื้อแท้จริงของเหตุการณ์จะมองไม่เห็น
จริงๆ
แล้วเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม ยืมมือ
นักศึกษาประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
โค่นล้มกลุ่มเผด็จการณ์ทางการทหารที่มีอำนาจโดดเด่น จนถูกหวาดระแวงว่า
จะเป็นอันตรายต่อกลุ่มอนุรักษ์นิยม
ดังตัวอย่างในหลายประเทศในโลกที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ถือว่าเป็นการสิ้นยุคของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมทางการทหาร ต่อจากนั้นการเมืองยุคทหารก็ค่อยๆ ลดระดับลง
แต่
ผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างมากมาย จากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตยประชาชน แต่กลายเป็นทุนนิยมไทย
ที่ได้รับการปลดโซ่ตรวนจากระบอบเผด็จการทหาร ทำให้ทุนนิยมไทย เริ่มสะสมทุน
ขยายทุน และเข้าสู่การเมือง ตั้งพรรคการเมืองต่างๆ
เริ่มต้นการเมืองยุคทุนนิยม
ในขณะนั้น
ฝ่ายซ้ายที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย (พคท)
ก็ได้เข้มแข็งเติบใหญ่ขึ้นจากกระแสอินโดจีน
และการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาฝ่ายซ้าย
ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ปลอดภัยจากผู้นำเผด็จการทหาร
เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยจากขบวนการฝ่ายซ้าย จึงร่วมมือกับฝ่ายทุนนิยม
และจักรวรรดินิยมอเมริกา ใช้แผน “ขวาพิฆาตซ้าย” จนก่อกรณีนองเลือด 6 ตุลาคม
2519 ขึ้น ทำให้นักศึกษาและประชาชนฝ่ายซ้ายจำนวนมาก ต้องหลบหนีเข้าป่า
ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท)
ต่อมาเมื่อสถานการณ์โลก
เปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤตศรัทธาในฝ่ายสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
(พคท) ก็ตกต่ำจนหมดสภาพที่จะนำการปฏิวัติ
กลุ่มอนุรักษ์นิยมจึงปลอดภัยจากขบวนการฝ่ายซ้าย
ครั้นมาถึงปัจจุบัน
เมื่อทุนนิยมไทย ได้สะสมทุน และขยายทุนจนใหญ่โตขึ้น
อีกทั้งโลกก็ได้พัฒนาเข้าสู่ยุค “ทุนโลกาภิวัตน์” ในประเทศไทย ก็เกิดกลุ่ม
“ทุนนิยมใหม่” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการพรรคการเมืองใหม่ชื่อ
“ไทยรักไทย” มีทิศทางและนโยบาย สอดคล้องกับยุคสมัย
ก้าวหน้ากว่าพรรคการเมืองทุนนิยมเก่า
และพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมอย่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป)
ความตอบรับของประชาชนจึงมีมาก พรรคจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว และหัวหน้าพรรค
คือ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีความโดดเด่น
ถึงขั้นจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ปัญหาจึงเกิดขึ้น
เพราะ
กลุ่มอนุรักษ์นิยม เริ่มหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจ ดังนั้นขบวนการจัดตั้งต่าง
ๆ จึงเกิดขึ้น เพื่อโค่นล้มทำลาย พตท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย
นี้แหละ คือสภาพการณ์ที่แท้จริงของสังคมและการเมืองไทยในปัจจุบัน
เมื่อ
ทราบเนื้อแท้ของปัญหาแล้ว ก็จะต้องวิเคราะห์ว่า สถานการณ์จะก้าวไปอย่างไร
และจุดจบของปัญหาจะลงเอยอย่างไร
ก็ต้องพิจารณาทฤษฎีสังคมการเมืองและกฎวิวัฒนาการทางสังคม
โดยศึกษาจากประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆ ในโลกที่ผ่านมา และวิเคราะห์ว่า
สังคมไทยเวลานี้ดำรงอยู่อย่างไร
ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า
สังคมไทยได้ก้าวพ้นจากสังคมด้อยพัฒนาแล้ว หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
จนถึงปัจจุบัน น่าจะเรียกได้ว่า “เป็นสังคมกำลังพัฒนาขั้นสูง
กำลังก้าวสู่ความเป็นสังคมที่พัฒนาแล้ว เข้าสู่ความเป็นสากล”
แต่เนื่องจากสังคมไทย อยู่ในสภาพพิกลพิการ จึงไม่อาจก้าวสู่ความเป็นสากล
เป็น
สังคมที่พัฒนาแล้วได้ เนื่องจากขั้นตอนการพัฒนาติดขัด
เพราะในขณะที่เศรษฐกิจและสังคม กำลังก้าวสู่ยุคทุนโลกาภิวัตน์
แต่โครงสร้างทางอำนาจ ไม่ว่าเป็นตำรวจ ทหาร ศาล ระบบราชการต่างๆ
ยังอยู่ในมือกลุ่มอนุรักษ์นิยม เพราะประเทศไทย
ยังไม่ผ่านการปฏิวัติประชาธิปไตยทุนนิยม
ปรากฏการณ์ “กลุ่มพันธมิตร”
และเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจน
คือได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม ในการโค่นล้มรัฐบาล
เวลานี้ จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยม กับกลุ่มทุนนิยมใหม่
สถานการณ์
จึงก้าวเข้าสู่การปฏิวัติประชาธิปไตยทุนนิยม ที่กลุ่มทุนนิยมใหม่
จะเป็นผู้นำการปฏิวัติ เพื่อช่วงชิงโครงสร้างทางอำนาจจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม
จุดแตกหักจะเริ่มขึ้น ต่อเมื่อใดที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม
ช่วงชิงความเป็นรัฐบาลจากปัจจุบัน (เปลี่ยนขั้ว) อย่างไม่ชอบธรรม
ไปเป็นรัฐบาลภายใต้กลุ่มอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ
หรือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม
ขบวนการต่อสู้ อาจจะออกมาในรูป
“แนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชน” (นปช) หรือเป้าหมาย
อาจจะรุนแรงกว่านี้ก็ได้ และอาจถึงขั้นมีการจัดตั้งกองกำลังอาวุธ
เป็นป่าประสานเมือง และประสานกับคนไทยต่างประเทศเป็น ขบวนการแนวรบสามประสาน
ก็เป็นได้
นี้คือคาดการณ์ตามการวิเคราะห์ในเชิงวิตกของผู้เขียน
ซึ่งอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ จริงๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น
แต่จากทฤษฎีการปฏิวัติ จากระบอบสังคมศักดินา สู่ระบอบประชาธิปไตยทุนนิยม
ตัวอย่างแรก คือการปฏิวัติฝรั่งเศษ และตัวอย่างล่าสุด
คือการปฏิวัติในประเทศเนปาล เป็นกรณีศึกษาที่เราคนไทย
จะต้องพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางลดความรุนแรง และการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
ให้การเปลี่ยนแปลงใช้ทฤษฏี “เปลี่ยนผ่าน” แทนการใช้ทฤษฏี “โค่นล้ม”
สภาพ
การณ์ที่คนในชาติแตกแยกอย่างรุนแรงในขณะนี้
เกิดจากการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยม กับกลุ่มทุนนิยมใหม่
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มอนุรักษ์ยมเท่านั้น
ดังนั้น การแก้ปัญหา
จะต้องพิจารณาว่า ในความขัดแย้งนี้ กลุ่มใหนเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง
และจะแก้อย่างไร ที่ผ่านมา สื่อมวลชนมากมาย นักวิชาการและบุคคลต่างๆ
อาจไม่เข้าใจ หรือแกล้งไม่เข้าใจ โดยโยนปัญหาไปที่รัฐบาลว่า
เป็นด้านหลักของความขัดแย้ง การแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่รัฐบาล
เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือยุบสภา
ซึ่งที่ผ่านมา ทั้งนายกฯ
ลาออก ยุบสภาถูกยึดอำนาจ และกระทั่งนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ถูกปลดออก
เหตุการณ์ก็ไม่ยุติ จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ด้านหลักของความขัดแย้ง
ไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แต่อยู่ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม
ที่หนุนหลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่
การแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมเป็นด้านหลัก
ทางออกของ
การแก้ปัญหา ก็คือกลุ่มอนุรักษ์นิยม จะต้องยอมรับความจริง
ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก ค่อยๆ ปล่อยมือจากโครงสร้างทางอำนาจ
ปล่อยให้ใครกลุ่มไหนก็ตาม เมื่อได้รับการเลือกจากประชาชนมาเป็นรัฐบาล
ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง
ส่วนการทุจริตและความไม่โปร่งใสต่างๆ
ระบอบประชาธิปไตย จะค่อยสะสางขัดเกลาโดยตัวของมันเอง
จะต้องมุ่งที่จะให้การศึกษา ยกระดับจิตสำนึกของประชาชนให้สูงขึ้น
แทนที่จะโค่นล้มทำลายล้างกัน การถ่ายเทโครงสร้างทางอำนาจอย่างปฏิรูป
ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเปลี่ยนผ่าน จะทำให้ไม่เกิดความรุนแรง
แต่ถ้าไม่เป็นไปเช่นนี้ ก็จะเป็นการต่อสู้กัน เพื่อเปลี่ยนแปลงแบบ
“โค่นล้ม” เป็นการปฏิวัติอย่างรุนแรง พลิกฟ้าคว่ำดิน
ความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน ก็จะใหญ่หลวง
“สงคราม” หรือ “สันติภาพ” อยู่ที่การตัดสินใจของกลุ่มด้านหลักของความขัดแย้ง
โลก
ต้องพัฒนาไปข้างหน้า สังคมไทยก็ต้องพัฒนาไปข้างหน้าตามการพัฒนาของโลก
การคิดถูกต้องและการตัดสินใจที่ถูกต้อง
คือการคิดและการตัดสินใจที่สอดคล้องกับการพัฒนาของโลก
ฝากข้อคิดข้อเขียนนี้ให้ประชาชนคนไทยพิจารณา
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติด้วย