"ดร.ปู" 2 ล้านล้าน พลิกประเทศ ไม่เหนือความคาดหมาย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364535491&grpid=01&catid=01
ภารกิจรัฐบาล "ดร.ปู" พลิกโฉมประเทศไทย
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงชัดถ้อยชัดคำถึงร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของ ประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท
ยืนยันกฎหมายดังกล่าวเพื่ออนาคตประเทศไทย
ชี้แจงว่าการลงทุนจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค ทั้งประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน
ระบุแนวคิดที่ใช้ในการพัฒนาโครง สร้างของประเทศ
เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่ง ขาดการลงทุนโครงการใหญ่ที่ต่อเนื่อง มานาน
ให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่ออาเซียน ฐานการเชื่อมประชากรทั้งภูมิภาค 600 ล้านคน
นั่นคือโอกาสสร้างรายได้ของคนไทย
ลดต้นทุนในการขนส่ง ร่นระยะเวลาการเดินทาง รวมถึงการเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อดึงความเจริญ
รวมทั้งการเชื่อมเส้นทางโดยสาร ลด ค่าใช้จ่าย กระจายความเจริญจากหัวเมืองไปยังชานเมือง ทำให้เมืองชนบทเจริญขึ้น
สุด ท้าย ผลลัพธ์รูปธรรม ค่าขนส่งลดลง 2% จีดีพีเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1% ต่อปี และการจ้างงาน ประมาณ 500,000 อัตรา ซึ่งจะส่งผลทั้งความ แข็งแรง การหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศ อย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต
.......................................................................................
การ เดินทางไปเยือน 2 ประเทศล่าสุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คือ นิวซีแลนด์ และปาปัวนิวกินี ยังเป็นเป้าการ "จับผิด" และ "วิพากษ์วิจารณ์" ในเชิงลบ อย่างไม่เสื่อมคลาย
ตั้งแต่เรื่องเบาๆ เป็นสีสัน ในสังคมโซเชียลมีเดีย
เมื่อมหาวิทยาลัยโอ๊กแลนด์ ออฟ เทคโนโลยี (AUT) ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์
ในฐานะผู้มีบทบาทโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ
และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ด๊อกเตอร์กิตติมศักดิ์ "ยิ่งลักษณ์" ค่อนข้างปลาบปลื้ม เพราะเป็นปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แรกที่ได้รับ
แต่เมื่อ "ข่าว" นี้มาถึงไทย
ก็มีการตั้งคำถามในโซเชียลมีเดีย ทันที
"มหา"ลัยห้องแถวป่าวคะ"
กลายเป็นวิวาทะเผ็ดร้อนขึ้นมาทันที
เช่น เดียวกับที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตั้งข้อสังเกตการไปปาปัวนิวกินีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าอาจจะเชื่อมโยงกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปประเทศนี้ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ว่า มีเป้าเจรจาลงทุน "พลังงาน"
ผ่านการลงทุนระหว่างบริษัท ปตท.สผ. กับบริษัท อินเตอร์ออยล์ คอร์ปอเรชั่น (ไอโอซี) มูลค่า 1 แสนล้านบาท
ซึ่งมากด้วยความเงื่อนงำ ว่า บริษัทไอโอซีมีความพร้อมในการลงทุน หวังแต่การปั่นหุ้น
นายชวนนท์ จึงตั้งคำถามว่า ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรหรือไม่
ชัดเจนว่าทุกย่างก้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประเด็นเสมอ
จึงไม่น่าประหลาดใจ
เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลจะขับเคลื่อนเรื่อง "มหึมา" ด้วยการผลักดัน "ร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขน ส่งของประเทศ พ.ศ. ..." เพื่อกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ออกมา ก็ไม่รอดพ้นที่จะต้องเผชิญ "พลังต้านมหึมา" เช่นกัน
ซึ่งถึงแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงถึงความสำคัญของ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท 6 ประการ ว่า
1. เป็นการลงทุนโครงสร้าง 2 ล้านล้านที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งประเทศอื่นพัฒนาไปกว่าไทยมาก
2. เป็นการเชื่อมโยงแนวคิดภายใต้กรอบ Connectivity ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่ออาเซียน และเกิดฐานการเชื่อมประชากร 600 ล้านคน นั้นคือโอกาสในการสร้างรายได้ของคนไทย และการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนสู่อาเซียน
3. ประเทศไทยขาดการเชื่อมเส้นทาง บก น้ำ อย่างเชื่อมต่อ เพื่อให้ต้นน้ำจากแหล่งวัตถุดิบ ผ่านแหล่งอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลางน้ำ ไปยังปลายน้ำ คือการส่งออก เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง รวมถึงร่นระยะเวลาการเดินทางและลดต้นทุน ลดการสูญเสีย
4. การเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น เชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร-สุโขทัย-ตาก-อุตรดิตถ์ เพื่อดึงความเจริญ เพื่อเชื่อมเมืองท่องเที่ยว ทั้งนี้ ก็ไม่ใช่เพียงแต่จะมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังจะดึงให้นักท่องเที่ยวอยู่นานขึ้นอีกด้วย
5. การเชื่อมเส้นทางโดยสาร เพื่อให้คนมีทางเลือก เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง ลดค่าใช้จ่าย ปลอดภัยจากการใช้รถบนท้องถนน หลักการนี้ ยังกระจายความเจริญจากหัวเมืองไปยังชานเมือง ลดความแออัดให้คนกรุง เติมเต็มความเจริญให้กับนอกเมืองตามยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ นั่นคือ จะทำให้เมืองชนบทเจริญขึ้น รายได้ของประเทศที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับคุณภาพชีวิตที่สะดวก เร็ว ลดค่าใช้จ่าย และความแออัดด้วย
6. ตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นผลลัพธ์ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่จะได้ค่าขนส่งที่ลดลง 2% ในช่วงของการลงทุนมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1% ต่อปี และการจ้างงานประมาณ 500,000 อัตรา ซึ่งจะส่งผลทั้งความแข็งแรง การหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต
พลิกโฉมมากขนาดนั้น แต่ดูเหมือนจะไม่อาจโน้มน้าวใจให้ "ขาประจำ" เออออด้วยได้
และยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ สไกป์มาย้ำด้วยตนเอง ให้ ส.ส.เพื่อไทยสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชาติ
ก็เหมือนการตะโกนเรียก "แขก" ให้ออกมาต้านกันอย่างพร้อมเพรียงยิ่งขึ้น
เราจึงเห็นพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หมายมั่นใช้เวทีสภา อภิปรายโจมตี พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท อย่างรุนแรง
โดยพุ่งเป้า 4 ประเด็นใหญ่ คือ
1. ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 และมาตรา 170 ในเรื่องการจัดทำงบประมาณ
2. มีความจำเป็นที่จะต้องกู้หรือไม่
3. ความเหมาะสมของโครงการ
และ 4. ส่อแววทุจริตคอร์รัปชั่นหรือไม่
ขณะที่กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล อย่างกลุ่ม 40 ส.ว. ก็เงื้อเท้ารอถล่ม
โดย นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. ประกาศชัดเจนว่าจะยื่นให้ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ตีความเรื่องนี้ว่ารัฐบาลจะทำได้หรือไม่ โดยจะรอให้ พ.ร.บ. ผ่าน 2 สภาก่อน
รวมทั้งเตรียมยื่นกล่าวโทษต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วย
ขณะ ที่ "นอกสภา" กลุ่มคนไทยหัวใจรักสงบ ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวสอดประสาน ยื่นหนังสือต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ตรวจสอบว่าคณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการอนุมัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทหรือไม่ เพราะส่อขัดหลักวินัยการเงินการคลัง หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ชัดเจน
จะเห็นว่ากระแสต้านประสานกันทั้งสภาล่าง สภาสูง และนอกสภา อย่างเป็นกระบวน เป็นระบบ และใช้ทุกช่องทาง
คาดหมายว่าคงจะปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
สะท้อนผ่านวาทกรรม เช่น กู้ผลาญชาติ, ตีเช็คเปล่า, กู้ชาตินี้ ใช้ชาติหน้า, แชมป์เงินกู้, กู้เพื่อพี่ หนี้เพื่อประชาชน เป็นต้น
ที่ต้อง "แรง" ขนาดนี้เพราะต้องไม่ลืมว่า หากร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านของรัฐบาลเดินหน้าไปได้
ไม่เพียงจะพลิกโฉมประเทศครั้งใหญ่เท่านั้น
หากแต่ยังจะทำให้ "พรรคเพื่อไทย" เหมือนพยัคฆ์เสียบปีก ที่อาจครองอำนาจทางการเมืองได้อย่างยาวนาน โดยมีผลงานโบว์แดงนี้เป็นตัวช่วย
เพราะเหตุนี้ ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจึงต้อง "รวมพล" ต่อต้านกันทุกกลุ่ม ทุกท่า ทุกวิธี เพื่อสกัดเงินกู้ 2 ล้านล้านให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น