Friend-of-Red
30 กันยายน 2554 ณ ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญารัชดาผมบอกตัวเองว่าถ้านานๆ ได้ร้องไห้กับเรื่องราวของคนอื่นบ้างอาจทำให้ชีวิตตัวเองชุ่มชื้นมากขึ้น เวลาดูหนังซึ้งๆ เราก็ร้องไห้ได้ ดังนั้น หากเป็นเรื่องจริงที่หนักหนากว่าในหนังมากปรากฏอยู่ตรงหน้า การเสียน้ำตาบ้างคงไม่ตุ๊ดเกินไป
ผมติดตามคดี “อากง SMS” มาสักระยะในฐานะที่เป็นคดีมาตรา 112 ที่ดราม่าที่สุดคดีหนึ่ง ซึ่งผมมักจะใช้เล่ายกตัวอย่างให้กับคนที่ไม่เข้าใจปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย อาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ได้ฟัง
คน ที่เราเรียกว่า “อากง” หรือ นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) ถูกจับเมื่อกลางปี 2553 หลังเหตุการณ์การชุมนุมของเสื้อแดงได้ไม่นาน เป็นคดีผลงานคดีเดียวที่ตำรวจไล่จับตามที่อ้างว่าพวกเสื้อแดงมีขบวนการ หมิ่นฯ ล้มล้างสถาบันฯ และออกแถลงข่าวใหญ่โต ข้อหาคือการส่งSMS เข้ามือถือเลขาฯนายกรัฐมนตรี เป็นข้อความผิดกฎหมาย 4 ข้อความ ซึ่งแอบดูมาเห็นว่าหนักทีเดียว เป็นข้อความที่แรงและหยาบคายที่สุดสำหรับการฟ้องร้องคดีหมิ่นฯ ทั้งในยุคนี้และยุคก่อน
คดีนี้มีชื่อเสียง นอกจากจะเพราะตำรวจแถลงข่าวใหญ่โตแล้ว ยังมีเรื่องราวเป็นนัยน่าสนใจมากมายเพราะอากงเป็นคนแก่ที่ไม่ได้ถนัด เทคโนโลยี แกบอกว่าแกไม่เคยส่ง SMS แกส่งไม่เป็น อากงไม่ได้ประกันตัว แกมีโรคประจำตัวและแกก็เครียดจนไม่สบายหนักในช่วงที่โดนจับใหม่ๆ งานของผมบังคับให้ผมต้องติดตามคดีนี้ ทั้งที่หากผมประกอบอาชีพอื่นและนอนดูทีวีอยู่บ้านผมก็อาจจะนึกสาปแช่งอากงไป แล้ว ไม่ต่างจากที่หลายๆ คนอาจเคยทำ
ผมไม่เคยรู้จักอากงมาก่อน รู้ตามสื่อว่าแกเคยไปชุมนุมกับเสื้อแดง และเสื้อเหลืองแกก็ไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ผมเคยเข้าเยี่ยมอากงในคุก 1 ครั้ง ไปกับคนอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจ คุยกับอากงไม่กี่คำก็สามารถเชื่อเหมือนที่หลายๆ คนเชื่อได้ ผมเห็นอากงซึ่งเป็นคนแก่ อายุ 61 ปี แม้จะไล่ๆ กับแม่ผม แต่แกดูแก่มาก เดินช้า หลังค่อม ผมขาว สายตาฝ้าฟาง พูดจาสุภาพกับทุกคน พูดภาษาไทยไม่ชัดติดสำเนียงจีน แกเหมือนชาวบ้านที่ใส่ซื่อ ยากจนและหวาดกลัว แกยิ้มแย้มอย่างมีกำลังใจเสมอเมื่อพบคนที่มาเยี่ยม แต่ข่าวทุกสายบอกว่าอากงไม่สบายและก็แอบนอนร้องไห้บ่อยๆ ในห้องกรง
อา กงไม่รู้เรื่องอะไรเลย แกบอกว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งข้อความ ไม่รู้ว่าทำไมตำรวจมีหลักฐานทางคอมพิวเตอร์โยงมายังมือถือของแกได้ ไม่รู้จักเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งถึง ไม่รู้ๆๆๆๆ รู้แต่ว่าไม่ได้ทำ ทีมทนายความก็ไม่รู้จะตั้งประเด็นในการต่อสู้คดีอย่างไร ที่จริงทีมทนายไม่รู้ด้วยว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร อัยการก็ไม่รู้ ตำรวจที่มาเบิกความก็ไม่รู้ ศาลก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่รู้ ... แต่เรารู้ว่าต่อให้แกทำจริง ก็เป็นการเกินไปที่คนอย่างแกต้องเผชิญหน้ากับโทษจำคุกสูงสุดหกสิบปีเพียง ลำพัง
หลังอัยการส่งฟ้อง ศาลอ่านข้อความที่ถูกฟ้องแล้วคงรู้สึกไม่ต่างจากคนไทยหลายต่อหลายคนจึงสั่ง ไม่ให้ประกันตัว อากงนอนอยู่ในห้องขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รวมแล้วเกือบหนึ่งปี ก่อนจะได้รับการพิจารณาความถูกผิด และในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2554 สายตาจำนวนมากก็จดจ้องมาที่บัลลังก์พิจารณาคดีของศาลอาญา
ตามบันทึก การประชุม ในฐานะสมาชิกเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนผมอยู่ในคดีนี้ด้วย แต่ไม่ได้รับผิดชอบเต็มๆ ผมเพิ่งได้เข้าร่วมประชุมกับทีมทนายความในช่วงใกล้ๆ วันสืบพยานทำให้เห็นว่างานนี้ไม่ง่าย หลายคนอาจรู้สึกว่าคดีนี้ไร้สาระทีเดียว เพราะไม่มีทางมีใครเห็นอากงหยิบโทรศัพท์มากดส่ง SMS ไปเบอร์นั้นเบอร์นี้ แต่เมื่อตำรวจนำส่งหลักฐานเป็นข้อมูลการใช้โทรศัพท์จากผู้ให้บริการ ขณะที่อากงก็ไม่รู้อย่างเดียว ไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้เพื่อต่อสู้ ไม่มีนิทานชักใยถึงตัวผู้กระทำผิดจริงมาบอกศาล คดีนี้จึงหินโคตรๆ
ทนาย ความอายุน้อยทั้งสามคนที่มีแต่ใจไม่มีความรู้อะไรพยายามเปิดประเด็นต่อสู้ เรื่องหลักฐานทางเทคโนโลยีในวันแรกๆ แต่ก็โดนตอกกลับจากพยานฝั่งโจทก์ซึ่งเป็นคนจากDTAC True และตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่เตรียมกันมาอย่างดี ประกอบกับเมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้ยินว่าเป็นคดีหมิ่นฯ ก็ไม่มีใครกล้ามาเบิกความเป็นพยานเข้าข้างจำเลย พยานหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดที่ฝั่งจำเลยมีอยู่ คือ ตัวอากงเอง บุคลิกสุภาพ ยิ้มแย้มกับความใสซื่อของคนแก่ที่สุขภาพไม่แข็งแรงอาจเป็นสิ่งเดียวที่ยืน ยันได้ว่า แกทำความผิดที่ร้ายแรงขนาดนี้หรือไม่
30 กันยายน 2554 ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญารัชดา เวลา 9.00 น. เป็นวันที่อากงจะขึ้นเบิกความต่อศาลเอง หลังจากที่พยานหลักฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและกระบวนการสืบสวนที่อากงฟังไม่ เข้าใจได้ถูกนำสืบไปหมดแล้ว
ผมรู้ว่าผมเป็นคนอินกับอะไรค่อนข้าง ง่าย และก็ชอบ dramaticise ข้อเท็จจริงให้ emotional มากขึ้น แต่เรื่องราวของคดีนี้มันดราม่ามาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และก็ดราม่าในวันสืบพยานทุกวันที่อากงแกจะนั่งมองศาลอย่างเหม่อลอย และร้องไห้กอดกับหลานๆ ก่อนถูกนำตัวกลับเรือนจำ
วันนี้ กองเชียร์เข้ามาเต็มห้อง ส่วนหนึ่งเป็นนักกฎหมายสิทธิเพื่อนๆ ทีมทนาย ส่วนหนึ่งเป็นนักข่าว ส่วนหนึ่งเป็นคนเสื้อแดงที่ไม่ได้รู้จักอะไรกับอากงมาก่อน ป๊าอุ๊ ภรรยาสุดรักที่อากงเรียกว่า “แฟนผม” และหลานๆ 4-5 คนที่อากงเลี้ยงมาเองกับมือ
อากงเริ่มเรื่องให้มันดราม่าตอนที่ สาบานตัว และแกมองไม่เห็นแผ่นคำสาบานจึงต้องให้ทนายอ่านให้ เมื่อศาลถามชื่อ ที่อยู่ และถามอาชีพ แกก็ตอบเต็มปากเต็มคำ “เลี้ยงหลานครับ” สร้างเสียงฮาปนสะเทือนใจให้กับกองเชียร์ ก่อนแกอธิบายว่าเคยขับรถขนส่งแต่สุขภาพไม่ดีเลิกทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว จึงมีหน้าที่เลี้ยงหลาน ไปส่ง ไปรับ ไปโรงเรียน
อากงตอบคำถามอย่าง ฉะฉาน ด้วยสำเนียงไทยปนจีน เล่าถึงชีวิตประจำวันแก ประวัติการใช้มือถือ เมื่อถามว่าบ้านที่แกอยู่เป็นยังไง คือ ทนายตั้งใจจะให้บอกว่าอยู่กันหลายคน แกก็มองรอบๆ ทำหน้างงๆ แล้วตอบว่า “ประมาณครึ่งนึงของห้องนี้” (ห้องพิจารณาคดี 801) พร้อมทำมือประกอบ
ทนายความถามแกไปตามสูตรที่เตรียมมา ถามว่ากรณีที่ถูกฟ้องนี้แกทำจริงหรือเปล่า
“ผมไม่ได้ทำครับ” อากงเงยหน้ามองศาล พูดอย่างฉะฉาน
ทนายความถามว่าเบอร์โทรศัพท์ของเลขาฯนายกนี้อากงรู้ไหมว่าเป็นเบอร์ของใคร
“ผมไม่รู้ครับ” อากงตอบฉะฉานเช่นเดิม
แล้ว ทนายก็มีคำถามที่เราไม่ได้เตรียมร่วมกันมาก่อน โดยเอาข้อความที่ถูกฟ้อง ซึ่งเป็นถ้อยคำหยาบคายมาเปิดให้แกดู ทนายพูนสุข ถามอากงว่า “พยานเห็นข้อความนี้แล้วรู้สึกอย่างไร”
อากงตอบไม่ฉะฉานแล้ว เสียงแกสั่นเครือ “ผมเสียใจมากครับ ... ก็เค้าด่าในหลวง” มองจากข้างหลังเห็นคอแกแดงก่ำ แกร้องไห้ นาทีนั้นทั้งห้องเงียบกริบ
ทนายบอกว่า ใจเย็นๆ ค่ะ แล้วพยานมีความรู้สึกอย่างไรต่อในหลวงคะ?
“ผมรักในหลวงครับ” อากงยังร้องไห้อยู่ ตอบเต็มปากเต็มคำอย่างช้าๆ
หลัง จากนั้นอากงยังเล่าให้ศาลฟังว่า ตอนในหลวงป่วยก็ไปเยี่ยมที่ศิริราช เคยไปลงนามถวายพระพร ไปร่วมงานเฉลิม และ “งานที่วางดอกไม้จันทร์ ผมก็ไป” อากงเสียใจมากที่ถูกฟ้องคดีนี้เพราะอากงรักในหลวง ตลอดการกล่าวถึงประวัติของแกกับสถาบันฯ คนแก่อายุ 61 ยังคงร้องไห้ต่อหน้าบัลลังก์ศาลและต่อหน้าทุกคน ถ้าอากงกำลังโกหก นักแสดงฮอลลีวู้ดรางวัลออสการ์คงต้องกลับมาให้อากงสอนใหม่
ผมเห็นสี หน้าของศาลอ่อนโยนลงบ้าง ศาลผู้หญิงยกมือขึ้นปิดปาก อัยการรุ่นใหม่ 3 คนที่ก่อนหน้านี้ยังทำเสียงดุขู่ทนายจำเลยนั่งซุบซิบกันด้วยแววตาที่บ่งบอก ถึงความเป็นมนุษย์ ช่วงระยะเวลาหนึ่งผมเริ่มบกพร่องในหน้าที่ ตาผมเริ่มฝ้าฟาง สมาธิหลุดและไม่ค่อยได้ฟังการสืบพยาน
“กลั้นเองๆ อย่าเอาทิชชู่เช็ด” พี่หน่อย พรเพ็ญ ที่นั่งติดกันกระซิบบอกผม ขณะที่แกก็นั่งก้มหน้าอยู่เหมือนกัน น้องข้างหลังสะกิดขอทิชชู่ผมสักแผ่นแต่ผมไม่ได้ยิน เพราะผมไม่กล้าหันไปมองกองเชียร์ที่อ่อนไหวข้างหลังนั่น ทนายความหันมายิ้ม ให้กับหมู่กองเชียร์ สักพักน้องอีกคนวิ่งหนีออกไปจัดการความรู้สึกนอกห้องพิจารณา ก้อนความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาปะทะกับความเป็นมนุษย์ของคนกว่า 30 ชีวิตในนาทีนั้นคงไม่ต่างกัน
อากงเบิกความจบอย่างรวดเร็วมาก เพราะไม่ได้มีประเด็นข้อต่อสู้อะไรนอกจาก “ผมไม่ได้ทำครับ”
และ “ผมไม่รู้ครับ” อากงลุกขึ้นยกมือไหว้ศาลทั้งสามคนที่อายุรวมกันแล้วคงไม่มากกว่าอายุของแก นัก บอกว่า “ขอบคุณมากครับ” แกยังเชื่อมั่นของแกเสมอ หลานๆ วิ่งเข้าไปคุกเข่ากอดอากง (ในห้องพิจารณาคดีถ่ายรูปไม่ได้) ศาลนัดฟังคำพิพากษา 23 พฤศจิกายนนี้
ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะพา อากงขึ้นรถกลับไปยังเรือนจำ อากงเดินเข้าไปไหว้ลาอัยการอายุรุ่นราวคราวลูก บอกว่า “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ” อากงยกมือไหว้กองเชียร์ที่ไม่เคยรู้จักกัน ไหว้ผมด้วย ป๊าอุ๊ก็ไหว้ผม ก่อนอากงจะเดินอย่างเชื่องช้าไปไหว้ทนายทั้งสามคนที่อายุรวมกันแล้วคงไม่ มากกว่าอายุของแกนักเช่นกัน
หลานๆ เดินไปส่งแกถึงประตูทางลงไปยังห้องขังใต้ถุนศาล ผมแอบถ่ายรูปไว้ เพื่อให้ดราม่าเพิ่มขึ้น
ปริศนา ของคดีนี้ยังไม่มีใครรู้ความจริง ใครเป็นคนส่งข้อความ? ส่งทำไม? และทำไมหลักฐานถึงโยงมาว่าเป็นอากง? ทนายความได้ใช้ความเป็นมนุษย์เข้าต่อสู้กับหลักฐานทางคอมพิวเตอร์อย่างดีที่ สุดแล้ว มีคนคนเดียวที่รู้คำตอบนี้นั่นคือ ตัวอากงเอง และวันนี้อากงได้ใช้โอกาสเดียวที่มีบอกความจริงกับโลกแล้ว
http://blogazine.in.th/blogs/groomgrim/post/3310
นัดพิพากษาคดี ‘ลุง SMS’ 23 พ.ย. ไม่มีพยานผู้เชี่ยวชาญกล้าเบิกความคดีหมิ่นฯ
30 ก.ย.54 ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ มีการสืบพยานในคดีที่พนักงานอัยการฟ้อง นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 61 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กรณีที่มีการส่งข้อความสั้น (SMS) เข้าสู่โทรศัพท์มือถือนายสมเกียติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 ครั้ง ในวันที่ 9, 11, 12, 22 พ.ค.53 ในช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
โดยในวันนี้เป็นการสืบ พยานจำเลย 3 ปาก ได้แก่ ตัวจำเลย หลานสาววัย 11 ปีของจำเลย และนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายจำเลย โดยศาลมีคำสั่งเบิกตัวจำเลยจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้าให้การ ภายในห้องพิจารณามีผู้สนใจฟังการสืบพยานราว 20 คน รวมถึงครอบครัวจำเลยซึ่งประกอบด้วย ภรรยา ลูกสาว 3 คน และหลานสาวอีก 4 คน อายุ 4-11 ปี
ทั้งนี้ ศาลนัดพิพากษาในวันที่ 23 พ.ย.54 เวลา 9.00 น. ห้องพิจารณาคดี 801
จำเลย เบิกความว่าไม่ได้เป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าว และระบุว่า ทำงานขับรถส่งของมากว่า 20 ปี ก่อนจะออกมาอยู่บ้านเลี้ยงหลานๆ ราว 10 ปี ไม่ทราบว่าเบอร์ที่ส่งข้อความดังกล่าวเป็นของใคร และไม่เคยทราบเบอร์โทรของเลขานุการส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีมาก่อน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าโทรศัพท์ของกลางเป็นของจำเลยจริง ซึ่งมักจะเอาไว้ในตู้ที่บ้าน บางครั้งก็นำติดตัวไปข้างนอกด้วย เป็นโทรศัพท์ที่ได้มาตั้งแต่ปี 2551 ใช้จนกระทั่งเครื่องเสีย และนำไปซ่อมในช่วงเดือน เม.ย. หรือ พ.ค. 53 จำไม่ได้แน่ชัดว่าวันใด เมื่อนำกลับมาใช้ได้พักหนึ่งก็เสียอีกในช่วงก่อนถูกจับกุมประมาณ 1 เดือน จากนั้นตนจึงนำซิมมาใส่เครื่องของภรรยา
เขาเบิกความอีกว่า ในวันจับกุม (3 ส.ค.53) เวลาประมาณ 5.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกมาที่ห้องเช่าเพื่อจับกุมเขา และถามถึงโทรศัพท์มือถือที่ใช้ เมื่อนำเครื่องที่ใช้อยู่ซึ่งเป็นของภรรยามาให้ ตำรวจได้ถามถึงเครื่องอื่นๆ เขาจึงเดินเข้าไปหยิบเครื่องที่เสียและวางในตู้ให้เจ้าพนักงานด้วยตนเอง
จำเลย เบิกความตอบทนายถามเรื่องสถาบันฯ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า จำเลยเคารพและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ และรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาจำเลยเคยพาหลานๆ ไปลงนามถวายพระพรที่ รพ.ศิริราช ในช่วงปิดเทอม ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพของพระเจ้าพี่นางเธอฯ จำเลยก็ได้ไปร่วมด้วย
อัยการ ถามค้านว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่ใด จำเลยตอบว่าจำไม่ได้ เมื่อถามว่าภายในบ้านมีบุคคลอื่นเข้าออกได้หรือไม่ จำเลยตอบว่ามีเพื่อนๆ ของภรรยาที่เข้าออกบ้านเป็นประจำ
ด.ญ. เอ (นามสมมติ) หลานสาววัย 11 ปีของจำเลย เบิกความต่อศาลผ่านนักจิตวิทยาว่า จำเลยเคยพาไปลงนามถวายพระพรในหลวงเมื่อปี 2552 และที่ผ่านมาไม่เคยเห็นจำเลยใช้โทรศัพท์มือถือส่ง SMS ใช้แต่เพียงรับสายโทรเข้า และโทรออกโดยดูเบอร์ต่างๆ ที่จดไว้ในสมุด
ทนาย จำเลยเบิกความว่า ได้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโทรคมนาคมประมาณ 4 คน ทั้งนักวิชาการและช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ โดยพยายามติดต่อนับสิบครั้งเพื่อให้มาเป็นพยานในคดีนี้ ทุกคนยินดีให้ข้อมูลแต่ไม่มีใครกล้ามา จึงต้องสอบถามข้อมูลและมาเบิกความเป็นพยานเอง โดยข้อค้นพบที่ได้จากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญและการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต พบว่า เลข EMEI (อีมี่) ซึ่งเป็นเลข 15 หลักเฉพาะของโทรศัพท์มือถือแต่ละเครื่อง ซึ่งตำรวจใช้เป็นหลักฐานในคดีนี้นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้โดยหลักการจะออกแบบมาเฉพาะแต่ละเครื่อง เมื่อสอบถามช่างซ่อมมือถือก็ระบุว่า หากมีเครื่องมือและโปรแกรมเฉพาะก็สามารถแก้ไขได้ โดยใช้เวลาเฉลี่ยเพียงครึ่งชั่วโมง แต่ต้องแก้ให้เป็นเลขที่มีอยู่ในระบบของเครือข่ายต่างๆ อยู่แล้ว ซึ่งในอดีตนั้นคนจะแก้เลขอีมี่เพื่อทำให้โทรศัพท์ที่ใช้ไม่ได้กับบางระบบ สามารถใช้การได้ หรือบางกรณีก็ลักลอบแก้ไขเพื่อให้หาหลักฐานติดตามตัวไม่ได้
ทนาย จำเลยกล่าวต่อว่า ส่วนเลข 15 หลักนั้นจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญและศึกษาเองพบว่า เลขหลักสุดท้ายเรียกว่า check digit ซึ่งจะตรวจสอบความถูกต้องของเลข 14 หลักแรก แต่ผู้ให้บริการในเมืองไทยจะเก็บตัวเลขเพียง 14 หลัก ซึ่งหากมีโทรศัพท์ที่หมายเลขอีมี่ตัวเลขสุดท้ายแตกต่างกัน ระบบก็จะประมวลผลเสมือนว่าเป็นเครื่องเดียวกันได้ ทั้งนี้ พยานได้นำส่งเอกสารข้อมูลจากเว็บไซต์วิกิพีเดียที่อธิบายเรื่องนี้ด้วย
ขณะ ที่ก่อนหน้านี้พยานฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทผู้ให้บริการเครือ ข่ายโทรศัพท์ทั้งดีแทคและทรู ให้การตรงกันว่า บริษัทเก็บข้อมูลอีมี่เพียง 14 หลัก เพราะหลักสุดท้ายไม่มีความสำคัญ และระบบจะกำหนดให้เองอัตโนมัติ โดยเจ้าหน้าที่จากดีแทคระบุว่าหมายเลขอีมี่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เจ้าหน้าที่จากทรูระบุว่าหมายเลขอีมี่นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ส่วน พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโทรคมนาคมและหัวหน้าชุดสืบสวนคดีนี้ จาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ระบุว่า การเก็บหลักฐานหมายเลขอีมี่ 14 หลักของบริษัทผู้ให้บริการนั้นเป็นหลักการที่ทำกันโดยทั่วไปและอีมี่จะไม่ ซ้ำกัน อย่างไรก็ตาม เลขอีมี่สามารถแก้ไขได้ และจะต้องปรากฏในระบบ
ส่วน ร.ต.อ.ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย พนักงานสืบสวนจาก ปอท. ให้การว่า หมายเลขที่ส่งข้อความนั้นเป็นโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน ไม่สามารถตรวจสอบเจ้าของได้ จึงตรวจสอบอีมี่เครื่องกับบริษัทผู้ให้บริการต่างๆ จากนั้นนำเลขอีมี่ไปตรวจสอบกับเครือข่ายต่างๆ อีกว่าเครื่องนี้ใช้กับเบอร์ใดบ้าง เมื่อพบว่ามีหมายเลขของทรูที่ใช้ปรากฏอีมี่นี้ จึงตรวจสอบว่าเบอร์ดังกล่าวติดต่อกับใคร แล้วออกหมายเรียกผู้นั้นมาสอบสวน นอกจากนี้ยังมีการนำข้อความ SMS ดังกล่าวไปสอบถามกับ นายธงทอง จันทรางศุ และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ซึ่งระบุตรงกันว่าข้อความดังกล่าวเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทั้ง นี้ นายอำพล ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค.53 ที่ห้องเช่า และคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนได้ประกันตัวเมื่อวันที่ 4 ต.ค.53 กระทั่งเมื่ออัยการส่งฟ้อง จึงถูกคุมตัวยังเรือนจำเดิมอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 ม.ค.54 ทนายยื่นประกันตัวหลายครั้งแต่ได้รับการปฏิเสธ ทำให้จำเลยยังถูกขังอยู่จนปัจจุบัน โดยมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งช่องปาก
http://www.prachatai3.info/journal/2011 ... tai.com%29
อยากให้เรื่องจริงนี้ คือ นิยาย
เรื่องราวที่พบในวันนี้ อยากให้ตอนจบแล้วมีเสียงพูดว่า "โอเค ปิดกล้องได้" แต่เสียงที่ได้ยินมัน คือ รอฟังคำพิพากษา วันที่ 23 พ.ย.
วันนี้ เป็นอีกวันที่คงจะจำภาพบรรยากาศในห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา รัชดาไปอีกนาน นับเป็นความตั้งใจมาฟังการเบิกความของจำเลยวัย 61 ปี ที่พวกเราเรียกแกว่า อากง ผู้ที่โดนคดีในช่วงบั้นปลายของชีวิต และด้วยอัตราโทษที่หนักมาก
ย้อน ไปถึงเรื่องราวของอากงได้รับฟังมาจากน้องที่รับอาสาจะทำหน้าที่ทีมทนายของ คดีนี้มาเล่าให้ฟัง และมีโอกาสได้ไปพบที่เรือนจำสองครั้ง ภาพที่เจออากงทุกครั้งแกจะยกมือไหว้คนที่ไปหาทุกคน เพราะแกถือว่าทุกคนมาช่วยให้ความหวังที่แกจะกลับไปอยู่กับแฟน(อากงใช้คำ นี้)และหลานของแก เช่นเดียวกับวันนี้
แม้จะมีอุปสรรคการจราจรที่คิด ว่าจะมาไม่ทันแต่สุดท้ายเราก็มาถึงก่อนที่ อากงจะเบิกความ แม้จะใช้เวลาในการถามความไม่นานนัก แต่ก็สร้างบรรยากาศร่วมกันได้ทั้งห้องพิจารณา เพราะสิ่งที่จะถามได้จากอากง คือ อากงยืนยันว่าไม่ได้ทำ พร้อมด้วยน้ำตา ส่งผลถึงคนที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอากงพลอยร้องไห้ไปด้วยหลายคน
ทั้ง หลานและอากง ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนในกระบวนการยุติธรรมพยายามที่จะค้นหา เพราะมันคือคำพูดเชิงเทคนิกและทางกฎหมาย สิ่งที่อากงรับรู้ได้ คือ ช่วงนี้อากงได้ออกมาข้างนอกเรือนจำ ได้มีโอกาสที่จะกอดหลานๆ สิ่งที่หลานอากง รู้คือ ความเย็นในห้องนี้คงทำให้อากงหนาวเพราะเสื้ออากงบาง กาเกงขาสั้นและอากงไม่ได้ใส่รองเท้า
เพราะนี้ คือ เรื่องจริง ที่เราไม่อาจจะอ่านตอนจบล่วงหน้าได้ เราไม่อาจจะทราบว่าคนที่มีอำนาจจะสร้างตอนจบให้อากงยังไง แต่พวกเราอยากเห็นตอนจบเรื่องนี้ ด้วยการตัดภาพ อากงได้ทำอาชีพ เลี้ยงหลาน อย่างที่บอกกับท่าน ในวันนี้
โดย Kob Paranda เมื่อ 1 ตุลาคม 2011 เวลา 0:19 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น