บทวิเคราะห์เรื่องเด่นประเด็นร้อน
ปิดประเทศ : บ้า + เบี้ยว สัญญาณอาทิตย์ใกล้อัสดง
นายทหารเอกกรุงธน
“ พวกเสื้อแดงจะตายสักเท่าไรก็ไม่สน และพร้อมจะปิดประเทศ ”
คำ กล่าวนี้เป็นข่าวลือที่เป็นคำกล่าวของชนชั้นนำที่ไม่สนใจต่อชีวิตของประชาชน และพร้อมจะปิดประเทศซึ่งเป็นข่าวลือที่เกิดขึ้นก่อนที่ทหารจะล้อมปราบที่ ผ่านฟ้า – ราชประสงค์ โดยยังหาหลักฐานต้นตอไม่ได้ แต่อยู่ๆก็ปรากฏหลักฐานเกิดเสียงดังที่ลำโพงยี่ห้อ “จำลอง ศรีเมือง” เป็นที่น่าสนใจว่าต้นตอของแหล่งข้อมูลนี้เชื่อมโยงกับชนชั้นนำส่วนไหน ? แต่ ที่แน่ๆเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะที่พระอาทิตย์ใกล้อัสดง และชนชั้นนำในสังคมไทยไม่อาจทำใจได้ หากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของตน,สถานการณ์การเมือง ไทยวันนี้บ่งบอกภาวะชนชั้นนำไทยได้ชัดเจนแล้วว่า “ทั้งบ้าและเบี้ยว”, แม้เหตุการณ์ทางการเมืองจะหลุดรอดสู่การเลือกตั้งได้ ก็ขอทำนายฟันธงได้เลยว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ได้ถึงกาลอวสานแล้ว
ไม่ชอบประชาธิปไตยแต่ต้องให้มีประชาธิปไตย
ประวัติ ศาสตร์การเมืองไทยในช่วง 60 ปีเศษที่ผ่านมา ได้บอกความจริงแล้วว่าชนชั้นนำของไทย ไม่ชอบประชาธิปไตยแต่จำใจต้องให้มีประชาธิปไตย เพราะนับแต่การรัฐประหารปี 2490 ได้เกิดการฉีกและร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่อีก 17 ครั้ง (รวมกับรัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี 2475 เป็น 18 ฉบับ) และวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญก็หมดสิ้นความสำคัญนับแต่นั้น และล่าสุดนับแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ชนชั้นนำไทยได้ใช้อำนาจทางการทหารกระทำการรัฐประหารอย่างถี่ยิบทั้งเปิดเผย และซ่อนรูป แทรกแซงการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลอย่างน่าเกลียดที่สุด โดยลงทุนด้วยเครดิตของประเทศที่แพงที่สุดเท่าที่เคยลงทุนมา คือลงทุนด้วยการยึดสนามบิน,ยึดทำเนียบรัฐบาล,ทำลายระบบศาล และทำลายระบบกฎหมายต่างๆ โดยหวังเพียงต้องการคุมอำนาจผ่านพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยอมตัวเป็นหุ่นถูกเชิดอย่างโจ่งแจ้ง และทำทุกอย่างที่สนองอารมณ์ส่วนตัวของชนชั้นนำบางคนที่เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย ภาวะไร้เหตุผลอย่างยิ่งด้วยความเชื่อทางไสยศาสตร์ว่า ทักษิณคือพระเจ้าตากสินกลับชาติมาเกิดจึงเกิดความระแวง สงสัยต่างๆนานา และกลายเป็นภาวะความปั่นป่วนของบ้านเมืองในวันนี้ และด้วยภาวะความงมงายควบรวมกับความไม่พึงใจกับระบอบประชาธิปไตยที่มีหลักฐาน ชัดเจนทางประวัติศาสตร์ จึงก่อให้เกิดข้อสรุปแห่ง มวลชนอย่างสิ้นสงสัยว่า ชนชั้นนำของไทยไม่สนใจระบอบประชาธิปไตยแต่จำเป็นต้องให้มีประชาธิปไตย เพียงเพื่อเอาไว้ฉาบหน้าหลอกลวงชาวโลกไปเท่านั้น และหากผลแห่งการเลือกตั้งกระทบต่อความเชื่อทางไสยศาสตร์ของตนก็พร้อมจะสลัด ทิ้งประชาธิปไตยนั้นทันที
ภาวะการณ์เช่นนี้จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า “บ้า + เบี้ยว”
การเมือง 70 : 30 คือสัญญาณเตือนเปลี่ยนระบอบ
สัญญาณที่ต้องการทำลายระบอบประชาธิปไตยได้ ดังเตือนล่วงหน้าในปี 2551 เมื่อนายสมัคร สุนทร เวช ผู้มีประวัติเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์สูงสุดอย่างเสมอต้น เสมอปลาย ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับโปรดเกล้าฯเข้ารับงานเดือนกุมภาพันธ์ 2551 แต่ก็ไม่อาจจะอยู่บริหารประเทศได้ กล่าวคือนายสมัครเป็นนายกฯได้เพียงแค่ 3 เดือนเศษ กลุ่มพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยถือธงเปิดประตูให้ทหารทำการรัฐ ประหารยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยข้อกล่าวหาว่า “ทักษิณไม่จงรักภักดี” เมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็ทำการถือธงเปิดประตูให้แก่ทหารทำการรัฐประหารเงียบ โดยยึดอำนาจรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อีกด้วยข้อกล่าวหาที่ฝืดคอที่สุดว่า “นายสมัครไม่จงรักภักดี” ด้วยการปฏิบัติการอย่างอุกอาจในฐานะ “ม๊อบเส้นใหญ่” โดย ไม่กลัวเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองและจารีตประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น และลุกลามไปถึงการยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ปิดถนนราชดำเนิน จนเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสด็จผ่านไปประกอบพระราชพิธีส่งสวรรคาลัย สมเด็จพระพี่นาง ที่ท้องสนามหลวงไม่ได้ และร้ายที่สุดก็คือนำสถาบันศาลเข้ามาเกี่ยวข้องการเมืองเต็มๆโดยศาลรัฐ ธรรมนูญมีคำพิพากษาที่อัปยศที่สุดและแสดงความอยุติธรรมที่สุด คือกรณีตัดสินให้นายสมัคร ออกจากตำแหน่งนายกฯ เพราะทำกับข้าวออกโทรทัศน์ และตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ต่อมาอีกเพื่อให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลุดจาก ตำแหน่งนายกฯเช่นกัน
ในระหว่างการยึดทำเนียบรัฐบาลแกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคน รวมทั้ง ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช , คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และนายสมเกียรติ พงษ์ ไพบูลย์ เป็นต้น ก็แสดงตัวชัดเจนในการสนับสนุนให้เกิดการยึดทำเนียบและยึดสนามบิน และบนเวทีในทำเนียบรัฐบาลนั้นเองคือจุดเริ่มต้นที่ส่งสัญญาณว่า ผู้อยู่เบื้องหลังม๊อบพันธมิตรตัวจริงหรือในนาม “เส้นใหญ่” ส่งสัญญาณผ่าน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าไม่ชอบระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ปฏิบัติติดต่อกันมายาวนาน ด้วยเสนอระบอบการเมืองใหม่คือ เลือกตั้ง ส.ส.จากประชาชนโดยตรงเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ และแต่งตั้งคนใกล้ชิด “เส้นใหญ่” อีก 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เรียกว่าการเมือง 70 : 30 ซึ่งแนวคิดนี้ก็ได้ปฏิบัติจริงมาแล้วในการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ด้วยการชี้นำทางนโยบายของ “เส้นใหญ่” ที่กำหนดในรัฐธรรมนูญให้เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาด้วยระบบ 50 : 50 คือเลือกตั้งครึ่งหนึ่งแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง
การนำเสนอของ “สนธิลิ้ม” เรื่องการเมือง 70 : 30 จึงเป็นการส่งสัญญาณของ “เส้นใหญ่” ว่าพร้อมจะเปลี่ยนระบอบปกครองทั้งรูปแบบและเนื้อหา เพื่อกุมอำนาจเบ็ดเสร็จทางการเมืองในช่วงเวลาขณะนี้
ปิดประเทศ : ข่าวลือเป็นข่าวจริง
ไทย เป็นประเทศเผด็จการทางวัฒนธรรมที่มีอำนาจควบคุมความคิดและปิดปากประชาชนที่ รุนแรงกว่าที่บัญญัติไว้เป็นตัวบทกฎหมาย ไม่ต่างอะไรจากประเทศเกาหลีเหนือและประเทศเผด็จการอีกไม่กี่ประเทศในโลกที่ ยังหลงเหลืออยู่ ดังนั้นข่าวสำคัญทางการเมืองที่เกี่ยวกับอำนาจเชิงโครงสร้างอันอำมหิต จึงเกิดภาวะข่าวลือปากต่อปากก่อนเสมอ และอีกระยะหนึ่งจึงตามมาด้วยข่าวจริงที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่แม้กระนั้นก็ไม่อาจจะเปิดเผยและวิเคราะห์ได้อีกว่าแหล่งข่าวต้นตอแท้จริง มาจาก “ขาใหญ่ทางอำนาจ” ส่วนไหนกันแน่
ตั้งแต่กลางปี 2552 เมื่อกองทัพอุ้มนายอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นนายกฯได้สมใจ“เส้นใหญ่” แล้วก็เกิดข่าวลือว่าพร้อมจะฆ่าคนเสื้อแดงเป็นแสน และพร้อมจะปิดประเทศและแล้วต่อมาการล้อมปราบเข่นฆ่าประชาชนก็เกิดขึ้นจริงตามข่าวลือนั้น จากเหตุการณ์ผ่านฟ้า – ราชประสงค์ นับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553 ถึง 19 พฤษภาคม 2553 ที่มีคนเสียชีวิต 91 ศพบาดเจ็บกว่า 2,000 พันราย ซึ่งเป็นการเข่นฆ่าประชาชนที่โหดร้ายที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศไทยมา และข่าวลือเรื่องการปิดประเทศ ก็ปรากฏข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับในปลายเดือนมีนาคม 2554 พาดหัวว่า “พล.ต.จำลอง เสนอปิดประเทศ 5 ปี สะสางระบบ”
ดูเนื้อหาของข่าวแล้วก็ชัดเจนว่า มิใช่พลตรีจำลอง ศรีเมือง คนเดียวที่เพ้อ แต่เป็นมติของพันธมิตร “ม็อบเส้นใหญ่” เจ้าเก่าทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 ที่เคยแสดงบทบาทรับใช้เส้นใหญ่อย่างสุดจิตสุดใจและบ้าระห่ำอย่างถึงที่สุดมาแล้ว ด้วยเนื้อข่าวว่า
“พล.ต.จำลอง ศรี เมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯแถลงยืนยันว่า แกนนำพันธมิตรฯทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 เห็นตรงกันว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่ควรมีการเลือกตั้ง แต่ควรจะปิดประเทศก่อน 5 ปี เพื่อให้มีการปฏิรูปสังคมให้เข้าระบบทั้งหมดเสียก่อน แล้วจึงปล่อยให้มีการเลือกตั้ง” (เว็บเนชั่นทันข่าว)
อานันท์ และแนวร่วมเส้นใหญ่เซ็งกันเป็นแถว
กระแสการปิดประเทศจากเครื่องหมายการค้า “แบรนด์เนม” จำลอง และพันธมิตรฯที่ส่งเสียงดังในฐานะโฆษกของเส้นใหญ่ ได้บ่งบอกความจริงชัดเจนแล้วว่า ผู้อยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯต้องการอะไรจึงได้ก่อให้เกิดภาวะการเซ็งสุดๆของ แนวร่วมของกลุ่มพันธมิตรฯ เช่นนักธุรกิจจากค่ายสหพัฒนพิบูลย์ ค่ายสหยูเนียน และค่ายเบียร์ ออกมาส่งสัญญาณกันยกใหญ่ว่าต้องปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจการค้าเสรีเดินต่อไป แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านพันธมิตรฯตรงๆ เพราะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯ และคนที่แสดงออกชัดเจนที่สุดด้วย “ภาษากาย”คือ นายอานันท์ ปัญยารชุน ที่เมื่อเกิดกระแสข่าวปิดประเทศ ก็ประกาศลาออกจากประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ที่นายอภิสิทธิ์แต่งตั้งทันที ซึ่งข่าวนี้ช็อคผู้คนในแวดวงแนวร่วมม็อบเส้นใหญ่ ปรากฏหลักฐานคือ นายอภิสิทธิ์ ประกาศจะเดินทางไปพบนายอานันท์ เพื่อขอทราบรายละเอียด แต่แล้วต่อมาข่าวทั้งหมดก็เงียบ โดยไม่รู้ความจริงว่า นายอานันท์ลาออกเพราะเหตุใด ?
ระบอบเผด็จการทางวัฒนธรรมคนไทยก็ทราบข่าวได้เท่านี้
ข่าวลือการยึดอำนาจประสานข่าวปิดประเทศ
การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวานตั้งแต่เมื่อต้นปี 2554 เริ่ม ต้นจากการทวงคืนเขาพระวิหารและเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆและต่อยอดขึ้นไป กลายเป็นเสนอให้ทหารยึดอำนาจล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์และปิดประเทศ 5 ปี กระแสการเคลื่อนไหวนี้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น เมื่อผู้ใหญ่ในทางการเมืองอย่างนางสดศรี สัตยธรรม 1 ใน 5 เสือ กกต.ได้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2554 โดยเปิดสัญญาณไฟเขียวให้ทหารทำการยึดอำนาจในการสัมมนาของสถาบันพระปกเกล้าว่า “มีความพยายามบีบบังคับให้ กกต.ลาออกเพื่อนำไปสู่การปฏิวัติ” และเมื่อ 24 มีนาคม 2554 นางสดศรีก็ กล่าวย่ำอีกครั้งถึงความอึดอัดที่จะทำหน้าที่ กกต.เพราะการเมืองรุมเร้าหนักหน่วงจึงตัดสินใจจะลาออก เพื่อจะไปอยู่ในคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายแทน
ข่าว ลือการยึดอำนาจที่เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2553 นับแต่รัฐบาลเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องเปลี่ยนเขตเลือกตั้ง โดยคนหน้าแหลมฟันดำคนใกล้ชิดป๋าอย่าง ประสงค์ สุ่นศิริ ออก มาสัมภาษณ์โดยตรงหลายครั้งทางวิทยุว่า ควรจะยึดอำนาจรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่บริหารประเทศล้มเหลวและกระแสการยึดอำนาจก็ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกลบเสียงนายอภิสิทธิ์ว่าจะยุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมนี้ จนล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 5 เมษายน 2554 พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สูงสุดได้นำผู้นำ 3 เหล่าทัพ ออกมายืนแถลงข่าวยืนยันว่าไม่มีการปฏิวัติแน่นอน ด้วยคำพูดว่า “เชื่อเถอะครับ คำพูดของกองทัพของทหารเชื่อถือได้ เชื่อเถอะไม่มีใครหรอกที่จะก้าวล่วงเข้าไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง” (ไทยรัฐ 6 เมษายน 2554 หน้า 10 )
คำแถลงข้างต้นถูกโต้แย้งด้วยคำพูดของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า “แม้ พล.อ.ทรงกิตติ ผบ.ทหารสูงสุดจะนำผู้นำเหล่าทัพทุกฝ่ายให้ฉันทามติว่าจะไม่มีการทำรัฐประหาร แต่ก็เชื่อไม่ได้เพราะทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหารทหารก็จะพูดเช่นนี้ก่อน ทุกครั้ง” (ไทยรัฐ 8 เมษายน 2554 หน้า 16)
ภูมิใจไทยปลุกกระแสสถาบันฯอุณหภูมิร้อนระอุ
สถาบัน พระมหากษัตริย์ประวัติศาสตร์ไทยในช่วงระยะ 5 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ถูกกลุ่มอำนาจทางการเมืองนำมากล่าวอ้างใช้เป็นเหตุผลใน การยึดอำนาจและทำลายล้างกันมาโดยตลอด แต่ในสถานการณ์ร้อนระอุของข่าวการยึดอำนาจในขณะนี้อยู่ๆพรรคภูมิใจไทยก็เปิด แถลงข่าวที่ล่อแหล่มในโครงการแจกพระบรมฉายาลักษณ์ 1.5 ล้านแผ่นให้นำไปประดับไว้ข้างฝาบ้านให้แก่ประชาชนทุกหลังคาเรือน หลังจากที่ทำตัวเป็นผู้นำในการปกป้องสถาบันมาตั้งแต่แปรพักตร์ออกจากทักษิณ ไปซบ นายอภิสิทธิ์ โดยนายชวรัตน์ ชาญวีรกูร รมว.มหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงที่มาโครงการนี้ ซึ่งเป็นการเติมเชื้อไฟอุณหภูมิความร้อนทางการเมืองว่า “จาก การตรวจสอบข่าวลือในพื้นที่อีสานเรื่องการยุยงปลุกปันประชาชนปลดพระบรมฉายา ลักษณ์ พบว่ามีการยุยงจริง แต่ประชาชนยังมีความจงรักภักดี จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันประดับพระบรมฉายาลักษณ์ทุกบ้าน” (ไทยรัฐ 7 เมษายน 2554 หน้า 11 )
ข่าว ของพรรคภูมิใจไทยจะตั้งใจอย่างไรไม่มีใครทราบได้ แต่เป็นข่าวที่ต่อจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย คือทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงพระองค์เล็กได้ทรงพระกรุณาออกมาประทานสัมภาษณ์ทาง โทรทัศน์ด้วยพระองศ์เอง ในรายการเกิดมาคุย ของนักจัดรายการวู้ดดี้ ว่า “ขอความเป็นธรรมให้แก่พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ”
การ ประทานสัมภาษณ์ของทูลกระหม่อมได้ช็อคประชาชนทั้งประเทศ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมากในระบอบการเมืองไทยในขณะนี้ ที่พสกนิกรและทหารผู้จงรักภักดีจะนิ่งอยู่เฉยๆไม่ได้ด้วยเหตุเพราะองค์พระ ประมุขและสมเด็จพระนางเจ้าฯไม่ได้รับความเป็นธรรม
จาก เหตุการณ์เช่นนี้จึงเกิดเชื้อมูลแห่งเหตุผลขึ้นว่า กองทัพไทยที่เป็นกองทัพของพระราชาจะปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้ดำรงอยู่ได้ อย่างไร และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เช่น เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เคยถูกกล่าวอ้างสร้างความชอบธรรมให้แก่กองทัพไทย นำมวลชนลูกเสือชาวบ้านและกลุ่มนวพล และกลุ่มผู้จงรักภักดีทั้งหลายออกมาเข่นฆ่านักศึกษาล้มตายอย่างโหดร้ายที่ สุดมาแล้ว ด้วยเหตุผลของการปกป้องสถาบัน
อุณหภูมิ ทางการเมืองร้อนแรงขึ้นมาอีกทันทีหลังจากกลุ่มคนเสื้อแดงจัดการชุมนุมครบรอบ 1ปีรำลึกเหตุการณ์ 10 เมษายน 2554 โดยนายจตุพร พรหมพัน์ ปราศรัยถึงที่มาของกระสุนและกำลังทหารที่ใช้ปราปปรามคนเสื้อแดง เป็นเหตุให้ผู้บัญชาการทหารบกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้ทหารไปแจ้งความดำเนินคดีต่อนายจตุพร พรหมพันธ์ และพรรคพวก พร้อมกับ กองทัพสามเหล่าทัพออกมาตบเท้าแสดงพลังขู่คำรามจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มคน ที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง
นอก จากนี้ยังได้ปรากฏกระแสข่าวการยุบพรรคเพื่อไทย และการกว้านซื้อตนักการเมืองให้แยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย ด้วยการอ้างเรื่องการปราศรัยหมิ่นสถาบันฯ เป็นการเตะตัดขาทั้งการการสกัดกั้นกำลังคนเสื้อแดงและตัดกำลังของพรรคเพื่อไทย เพื่อทำลายพรรคเพื่อไทยก่อยนการเลือกตั้งจะมาถึง
ภาวะอาทิตย์ใกล้อัสดง
วิกฤติ ในสังคมไทยที่ต่อเชื่อมยาวนานประมาณ 5 ปีมานี้ ได้ถูกจับตามองจากนักวิเคราะห์ข่าวทั่วโลกที่มีเสรีภาพมากกว่านักข่าวไทย ได้วิเคราะห์ตรงกันว่าเป็นภาวะวิกฤติที่ยากแก้ไข เพราะระบบกำลังกัดกร่อนตัวเอง อันเป็นภาวะธรรมชาติไม่ต่างอะไรกับภาวะแห่งดวงอาทิตย์ที่ใกล้อัสดง
สถานการณ์ การเลือกตั้งที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะเกิดได้ แต่แม้จะเกิดขึ้นก็มีสัญญาณบ่งบอกว่าไม่อาจจะนำไปสู่ภาวะอันเป็นปกติทางการ เมืองได้ เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ “ม็อบเส้นใหญ่” แต่ละประเด็นเป็นปัญหาโลกแตกทั้งสิ้นที่มนุษย์ที่ยังมีสติปกติไม่อาจจะคิด ได้เลย เช่น จะต้องเรียกร้องเอาเขาพระวิหารคืน และการชุมนุมจะมีต่อไปเพื่อจะรอดูคนที่จะมาเป็นนายกฯหลังเลือกตั้งว่าจะต้อง เป็นคนดี กล้าหาญ รักชาติ และพร้อมจะเอาเขาพระวิหารกลับคืนมา,และเรียกร้องให้ประชาชน VOTE NO และแน่นอนที่สุดที่ภายหลังการเลือกตั้งกลุ่มพันธมิตรฯจะนำ VOTE NO (ไปลงคะแนนแต่กาในช่องที่ไม่ออกเสียง) มารวมกับ NO VOTE (ประชาชนนอนหลับทับสิทธิ์ไม่ไปลงคะแนนเลย) ซึ่งจะมีมากกว่า 50 % มากล่าวอ้างอย่างบิดเบือนว่าประชาชนไม่พอใจต่อระบอบประชาธิปไตยทั้งๆที่โดย ปกติระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกจะมีผู้นอนหลับทับสิทธิ์ประมาณ 30-60 เปอร์เซ็นต์ อยู่แล้ว โดยเฉพาะประเทศไทยมีอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยประมาณทุกครั้งของการเลือกตั้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงในกรุงเทพฯจะนอนหลับทับสิทธิ์อยู่ทุกครั้งประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ข้อสรุปที่แน่นอน คือหลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็ล้วนแล้วแต่เป็นพรรคที่พันธมิตรไม่พึงประสงค์ ทั้งนั้น
และ หากมองข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งบ้างก็จะพบ ปัญหาโลกแตกแต่มีเหตุผลมากกว่า คือการเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่นำผู้สั่งฆ่าประชาชนที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ มาลงโทษให้ได้ ซึ่งคนทั้งโลกก็รู้แล้วว่าใครคือฆาตกรตัวจริง และเหตุการณ์สังหารประชาชนทำนองนี้ก็เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วในประเทศไทย และไม่อาจจะดำเนินคดีกับฆาตกรตัวจริงได้เลย
ดังนั้นเชื่อขนมกินได้ว่า ภาวะ วิกฤติของประเทศไทยวันนี้ไม่มีจบสิ้น การพังทลายของระบอบดั้งเดิมเป็นประเด็นสำคัญที่ต่างประเทศกำลังจับตามองและ ภาวะของการปิดประเทศเป็นภาวะที่ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น อย่างแน่นอน
http://dr-sunai.blogspot.com/2011/06/blog-post_08.html
http://www.internetfreedom.us/thread-28103.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น