แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ประยุทธ"นำทัพกองทัพหลากสีจับตาภารกิจ"รัฐซ้อนรัฐ"


Posted by คมชัดลึก

เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มแล้วกับว่าที่ แม่ทัพบกคนที่ 37” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ที่มี พี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ดันสุดตัวให้ขึ้นมาคุมกองทัพบกในครั้งนี้

[img]http://img576.imageshack.us/img576/1425/546991cmyk.jpg[/img]

ประกอบ กับ ไฟเขียวที่ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่เห็นดีเห็นงามให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน พล.อ.อนุพงษ์ ที่ต้องลาจากกองทัพบกเพราะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนกันยายนนี้

แต่ สิ่งที่น่าจับตามองในครั้งนี้คือ รายชื่อที่มีการโยกย้ายกันแบบ "ยกชุด" โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพบก ที่มีการผลักดันเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาแบบยกแผง ที่มีการผลักดันเพื่อนร่วมรุ่นผงาดเกือบทุกกองทัพภาค

ขยับ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพน้อยที่ 2 ขึ้นมาคุมกำลังในพื้นที่ภาคอีสาน ในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมาแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะ นอกจากนี้มีการขยับให้ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพน้อยที่ 3 ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3

นอกจากนี้ พล.ต.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ หัวหน้าประสานงานไทย-มาเลเซีย ก็ถูกหนุนขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เสนอให้ พล.ต.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แต่สุดท้ายก็มาถูกสกัดในช่วงโค้งสุดท้าย

ขณะเดียวกัน ยังมีการขยับเพื่อนร่วมรุ่น พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก ที่มีผลงานโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา คือ การเขียนแผนกระชับวงล้อมในการปราบม็อบแดง และเป็นสาย วงศ์เทวัญเพียงคนเดียวที่ได้ดีขยับขึ้นมาดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก

พร้อมกับ มีการขยับ พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นปลัดบัญชีทหารบก พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ เป็นรองเสนาธิการทหารบก พล.ต.วิลาส อรุณศรี เป็นผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายข่าว พล.ต.ยอดยุทธ บุญญาธิการ เป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) โดยมี พล.ต.อำพล ชูประทุม เป็นรองผู้บัญชาการ นปอ.

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการโยกย้าย ครั้งนี้ ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่สายบูรพาพยัคฆ์กลับโยกย้ายให้ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญที่จะได้เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. และมีผลงานแบบชิ้นโบแดงในช่วงที่ผ่านมา กลับถูกปรับให้ได้แค่อัตราพลเอกประจำเท่านั้น

โดย ชื่อของ พล.ท.คณิต หลุดในช่วงโค้งสุดท้าย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ถูกวางตัวให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกคู่กับ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 แต่สุดท้ายมีการผลักดันให้ พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกแทน

การวางไลน์ "คีย์แมน" ของ แม่ทัพบกคนที่ 37” จึงถูกจับจ้องไม่เพียงเฉพาะคนในกองทัพที่ผิดหวังกับการโยกย้ายนายทหารใน ครั้งนี้ แต่นั่นหมายรวมไปถึงฝ่ายการเมืองด้วย เพราะการโยกย้ายเฉพาะบรรดาพวกพ้องรุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ซีกการเมืองเกิดอาการ หนาวๆ ร้อนๆ

เพราะไม่รู้ว่าอนาคตกองทัพ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหอกคนสำคัญ และเป็นผู้บัญชาการทหารบกนานถึง 4 ปีเต็ม จะให้การสนับสนุนรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์อยู่หรือไม่ เพราะในอดีตเคยเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดมาแล้วครั้งหนึ่ง ที่กองทัพถูกขนานนามว่า เผด็จการทหาร

โดยในยุคที่ จปร.5 ขึ้นมาเฟื่องฟูควบคุมอำนาจในกองทัพแบบเบ็ดเสร็จ โดยมี พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นผู้บัญชาการทหารบก และมีเพื่อนพ้องรังท้ายในตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. ตั้งแต่ พล.อ.สันต์ ศรีเพ็ญ พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท และ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี ทำให้กองทัพในยุคนั้นมีอำนาจข่มรัฐบาล

รัฐบาลไม่สามารถ ที่จะสั่งการได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ให้ซ้ายหัน ขวาหัน เหมือนในยุคปัจจุบันไม่เคยได้เห็น แต่มาสมัยที่มี พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง แม่ทัพบกคนที่ 37 คงจะได้เห็นบรรยากาศที่มีเหล่าเพื่อนพ้อง ตท.12 ขึ้นมาผงาดแบบควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้ง

แน่นอนว่า หลังจากระดับหัวแล้ว ไล่เรียงลงไปถึงระดับ ผบ.พัน ที่คุมกำลัง ก็ต้องไล่หลังกันมาชนิดยกแผง

เมื่อ ถึงวันนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่โดดเด่น พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ ที่เป็นเสมือนสายโซ่เหล็กเชื่อมกับรัฐบาลก็ต้องผงาดง้ำ เติบกล้าจนน่าหวาดหวั่นว่าระหว่างรัฐบาลกับกองทัพนั้นจะมี "รัฐซ้อนรัฐ" เกิดขึ้นหรือไม่

ยิ่งในยามที่รัฐบาลไม่อาจยืนหยัดด้วยอำนาจปกติ กฎหมายที่ไม่ปกติที่ใช้อย่างพร่ำเพรื่อในทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าการสั่งให้รัฐบาลซ้ายหัน-ขวาหันจะยังเกิดขึ้นหรือ ไม่ ถึงแม้ว่ากองทัพจะผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อส่งผ่านอำนาจจาก พล.อ.อนุพงษ์ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้ว

แม้จุดเด่นของ พล.อ.ประยุทธ จะอยู่ที่ ความลุ่มลึก ถึงขนาดมีการกล่าวขานกันว่า เขา คือ กุนซือคนสำคัญที่ พล.อ.อนุพงษ์ ไว้เนื้อเชื่อใจ

แต่ใช่ว่า คนอย่างพล.อ.ประยุทธ จะไร้จุดอ่อน........

อย่า ลืมว่า หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน ที่กำลังทหารจากบูรพาพยัคฆ์เกือบ "ละลาย" ที่แยกคอกวัวนั้น คนที่ระเบิดอารมณ์เรื่อง "ปฏิวัติ"เป็นใคร และใครไล่ให้ไปอาบน้ำเพื่อดับความรุ่มร้อนเพราะความสูญเสียของลูกน้อง

"พยัคฆ์" ที่ผงาดขึ้นมายกแผง แม้จะช่วยให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องพะวักพะวนกับ "กองกำลังติดอาวุธ" ที่แฝงในกลุ่มผู้ชุมนุม แต่รัฐบาลที่เคยถูกตราหน้าว่า "หน่อมแน้ม" จะอยู่อย่างไร จะหลับตาลงสนิทได้หรือไม่ในยามค่ำคืนที่หวาดระแวงรุมเร้า !

ทีมข่าวความมั่นคง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน