แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าและความหวังของ'ปรวยฯ'

เรื่องเล่าและความหวังของ'ปรวยฯ' : เมื่อการเมืองเป็นของประชาชน คุณจะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็น

Thu, 2010-08-12 17:15

ที่มา : ประชาไท


ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา "ปรวย salty head" ผู้เล่นเว็บบอร์ดการเมือง ซึ่งมีจุดยืนต้านรัฐประหารอย่างชัดเจน ได้โพสต์บันทึกของเขาในโลกไซเบอร์ เล่าเรื่องที่เขาถูกบุกจับจากการแสดงความเห็นในเว็บบอร์ด

แม้ที่ผ่านมาจะมี ข่าวลือว่าผู้เล่นเว็บบอร์ดจำนวนหนึ่งถูกเข้าถึงตัว แต่ก็ไม่บ่อยนักที่เจ้าตัวจะมาโพสต์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง กรณีของ "ปรวยฯ" เขาบอกกับ "ประชาไท" ว่า เขาพยายามถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียดเท่าที่เขาจะเล่าได้ บันทึก "เขาจับผมยังไง" และ "เขาสอบสวนผมยังไง" ของเขาแพร่สะพัดไปทั่วเว็บบอร์ดประชาไท (ก่อนปิด) เว็บบอร์ดคนเหมือนกัน รวมถึงเว็บบอร์ดการเมืองอื่นๆ นอกจากนี้ยังถูกแปลเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย

ในบันทึก "ปรวยฯ" เล่าถึงเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากดีเอสไอเข้าถึงตัวเขา ขณะกำลังออกนอกบ้าน พร้อมด้วยหมายค้นในปลายเดือนพฤษภาคม โดยนำโน้ตบุ๊ค หนังสือและซีดีบนโต๊ะทำงานของเขาไปตรวจสอบ พร้อมสอบสวนเขาที่ดีเอสไอ โดยไม่มีทนายเข้าร่วมตามกระบวนการปกติ

"ปรวยฯ" ถูกสอบถามถึงแนวคิดทางการเมืองและให้เซ็นยอมรับเอกสารสองชิ้นว่าเขาเป็นผู้ โพสต์หรือไม่ นั่นคือ ภาพขณะคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ ซึ่งเขาได้เซ็นรับว่าเป็นของตัวเองจริง และข้อความที่ระบุว่าโพสต์เมื่อปี 2551 ซึ่งเขาระบุว่าจำไม่ได้ว่าเป็นผู้โพสต์หรือไม่

ตลอดการสอบถาม "ปรวยฯ" เล่าว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะคอยเตือนเขาว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ก่อนจะให้เขากลับบ้านและให้รอรับหมายเรียก อย่างไรก็ตาม จนถึงวันที่สัมภาษณ์ (3 ส.ค.) "ปรวยฯ" ระบุว่ายังไม่ได้รับหมายเรียก ขณะที่โน้ตบุ๊คและหนังสือนั้นทยอยได้กลับมาแล้ว

"ปรวยฯ" เล่าว่า ตอนที่ตำรวจถือหมายค้นมา เท่าที่เขาจำได้ -เพราะถูกปฎิเสธที่จะถ่ายสำเนาเอกสาร- ในหมายค้นซึ่งออกในวันอาทิตย์ (ตำรวจไปพบเขาในวันจันทร์) ไม่ได้ระบุถึง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และบอกเพียงว่าเป็นหมายค้นเพื่อหาพยานหลักฐาน เมื่อถามถึงรายละเอียดของข้อกล่าวหา "ปรวยฯ" บอกว่าเขาเองก็ยังไม่ทราบเป็นทางการ เพียงแต่ได้รับการบอกปากเปล่า ในจังหวะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเคาะกระจกรถว่า เขาไปโพสต์รูปบางรูปซึ่งเกี่ยวกับความมั่นคง และเมื่อแม่ของเขาสอบถามตำรวจเมื่อพวกเขามากันที่บ้าน ก็ได้คำตอบว่าเป็นคดีหมิ่นเบื้องสูง

"ปรวยฯ" บอกว่า ตำรวจมองว่าเขาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการโพสต์ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมืองแล้วไปเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์

"ปรวยฯ" เล่าว่า สำหรับเขา เล่นอยู่ที่เว็บบอร์ดประชาไท (ปัจจุบันปิดให้บริการแล้ว) และบอร์ด"ฟ้าเดียวกัน" ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบอร์ด "คนเหมือนกัน" โดยโพสต์ความเห็นทางการเมือง ในเรื่องที่คิดว่าพอทราบ บางครั้งเอาข้อมูลมาจากหนังสือพิมพ์ นำมาประมวล และส่วนตัวอ่านหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองมาพอสมควร

"ปรวยฯ" เล่าว่า จากคำถามที่เจ้าหน้าที่ถามเขา เหมือนจะคิดว่าเขาอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า ขบวนการล้มเจ้า แต่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เช่น ถามว่า ชื่อล็อกอินที่เขาใช้นั้นใช้กันกี่คน เขามีหน้าที่อะไรในเว็บบอร์ด ลบกระทู้ของคนอื่นได้หรือไม่ หรือรู้จักใครในบอร์ดไหม ซึ่ง "ปรวยฯ" บอกว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้จักใครเลย แต่หลังจากตำรวจจับกลายเป็นว่ามีคนติดต่อมาว่ายินดีช่วยเหลือ

เขายืนยันว่า เวลาเขาไปชุมนุมตั้งแต่หลังรัฐประหาร สมัยที่สุชาติ นาคบางไทร ปราศรัยบนเก้าอี้พลาสติก เขาก็ไปคนเดียวตลอด แม้แต่ล่าสุดที่ นปช. มีการชุมนุม เขาก็ไปถ่ายรูป นั่งฟังปราศรัยคนเดียว งานสังสรรค์ที่คนในเว็บบอร์ดประชาไทจัดก็ไม่เคยไป

เมื่อถามว่า คิดว่าโดนจับตามานานแค่ไหน เขาตอบว่า ถ้าดูจากเอกสารที่เอามาให้ดูตั้งแต่ 2551 ก็น่าจะ 3 ปีขึ้นไป เหมือนตำรวจรู้มานานแล้วว่า "ปรวยฯ" เป็นใคร ทั้งยังทราบด้วยว่า รหัสผ่านของเขามีกี่หลัก

หลังเกิดเรื่อง "ปรวยฯ" เล่าว่า เขาไม่กล้าเล่นเว็บบอร์ด เรื่องเกี่ยวกับการเมืองก็ไม่ได้เข้าไปดู เพราะเชื่อว่า ไม่ว่าเข้าเว็บอะไร จะถูกเช็คได้วันต่อวัน เพราะในวันที่ไปดีเอสไอ เขาเห็นเอกสารที่มีหัวจดหมายของบริษัททรูในแฟ้มที่ตำรวจเปิดให้ดูด้วย ซึ่งนั่นแปลว่าตำรวจติดต่อทรูได้ และไม่ใช่ยากที่ทรูจะรู้ว่าวันหนึ่งๆ เขาเข้าเว็บอะไรบ้าง ทำให้หลังจากโดน ก็ไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตเลย ไม่กล้าเข้าเว็บอะไรในบ้าน ถ้าอยากจะอ่านข่าวประชาไทก็จะไปที่ร้านกาแฟ

"ปรวยฯ" บอกว่า แต่หลังจากนั้นแม้รัฐบาลบอกว่าจะปรองดอง แต่เมื่อเห็นการปฎิบัติต่อคนที่เห็นต่างแล้วทำให้ทนไม่ได้ แม้ตอนแรกเขาตัดสินใจจะอยู่เงียบๆ แต่ภาพที่จับสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ในวันที่ไปผูกผ้าที่ราชประสงค์ มันกระแทกใจ จนเกิดคำถามว่า นี่มันยุคบ้านเมืองเป็นอะไร และรู้สึกหมดความอดทน

กับเรื่องผลกระทบ ต่อหน้าที่การงาน "ปรวยฯ" บอกว่า ยังไม่มีผลกระทบ แต่หากยังไม่เปิดเผยตัวตนออกไป พร้อมยกตัวอย่างกรณีมาร์ค วี11 ที่เพียงแสดงความเห็นลงในเฟซบุ๊ค แต่คนรู้จัก ก็มีผลต่อชีวิตของเขา จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ แต่ก็ได้เห็นแล้วว่า คนๆ หนึ่ง เมื่อแสดงความเห็นทางการเมือง ใครรับรู้ก็อาจจะถูกบีบได้ รวมถึงตัวเขาเอง ถ้าเขาเปิดเผยตัวเองก็จะกระทบต่อการงาน 100%

อย่างไรก็ตาม "ปรวยฯ" มองว่า การที่ตัวเองไม่มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น ถือเป็นหลักใหญ่ใจความของความเดือดร้อน โดยที่ผ่านมา จะเห็นความพยายามปิดปากฝ่ายหนึ่ง ขณะที่ให้อีกฝ่ายพูดได้เยอะกว่า ทำให้เห็นว่าไม่มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น ที่มีปัญหาที่สุดคือ เวลาแสดงความเห็นทางการเมืองต้องพูดถึงคนที่เกี่ยวข้องทุกคน แต่ก็มีกฎหมายที่ปิดปากคือ มาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชน

เขาบอกว่า ไม่น่าเชื่อว่าการที่ประชาชนคนธรรมดาจะโพสต์ความเห็นในเว็บบอร์ด เฟซบุ๊ค กลับเป็นที่จับจ้องของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งก็มีอำนาจมากมายอยู่แล้ว โดยรวมแล้ว เขาจึงมองว่า รัฐพยายามปิดปากคนที่เห็นต่างที่จะเอาความจริงลึกๆ มาพูด ตั้งแต่ปิดข่าวฟรีทีวี เว็บไซต์ทีวีของอีกฝ่าย จนหน่วยเล็กที่สุดอย่างกรณีล่าสุดที่ลามไปถึงเอสเอ็มเอส (กรณีจับชายเสื้อแดงที่สมุทรปราการ โดยอ้างว่าเป็นผู้ส่งเอมเอ็มเอมหมิ่นพระบรมเดชานุาภาพให้นายกฯ - ประชาไท) ต่อไปอาจเดินมาปิดปากคนที่บ้านก็ได้

เมื่อถามถึงคำแนะ นำต่อผู้ใช้เว็บบอร์ดคนอื่นๆ เขาบอกว่า ก็ใช้ความรู้พื้นฐานนั่นคือเวลาจะสมัครอีเมลเพื่อใช้สมัครสมาชิกเว็บบอร์ดก็ ซ่อนไอพี ใช้เว็บผ่านพร็อกซี่ พอจะสมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ก็ซ่อนอีก สำหรับเขาเอง ตอนสมัครตอนแรกๆ ไม่ได้คิดว่าจะมีใครมาตามจับ และบริสุทธิ์ใจ ก็โพสต์ตรงๆ มาในช่วงหลังเริ่มใช้พร็อกซี่บ้างในช่วงเมษา-พฤษภาที่เหตุการณ์แรงๆ

อย่างไรก็ตาม พอตอบมาถึงตรงนี้ "ปรวยฯ" พูดขึ้นว่า จริงๆ แล้ว ไม่ค่อยชอบใจการต้องใช้พร็อกซี่เท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องการเอาตัวรอด ซึ่งนี่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จะแก้ที่ต้นเหตุต้องทำให้การเมืองเป็นเรื่องของประชาชนจริงๆ เมื่อนั้น ประชาชนก็จะมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โพสต์อย่างสบายใจ ไม่ต้องใช้พร็อกซี่

"ปรวยฯ" บอกว่า จากการไปที่ดีเอสไอ ทำให้ได้ข้อคิดว่าเมื่อตำรวจมักอ้างว่ามีกฎหมายห้ามไว้ ดังนั้น ต้องกลับไปที่ ส.ส. ผู้ทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติ โดย ส.ส. ต้องกล้าแก้กฎหมายที่ลิดรอนสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ไม่เช่นนั้นก็เปล่าประโยชน์ที่ประชาชนจะเลือก ส.ส. เข้าไปทำงาน ถ้าแก้ไขกฎหมายได้ ต่อไป ตำรวจจะไม่มีข้ออ้างใช้กฎหมายจับประชาชน

ถ้า ส.ส.ไม่กล้าแก้ เพราะมีอะไรที่นอกเหนือการเมืองมาขัดขวาง ประชาชนและ ส.ส.จะต้องช่วยกัน ส.ส.ก็ต้องมาบอกว่ามีมือข้างบน มีทหารมากด ส.ส. และประชาชนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตัวเอง เกื้อหนุนและช่วยกันเปิดโปง

"ปรวยฯ" ได้ขอร้องต่อผู้มีอำนาจอยู่นอกการเมืองด้วยว่า นอกจากตอนนี้จะต้องเลิกยุ่งเรื่องการเมืองแล้ว ผลที่เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐประหาร ก็ควรต้องให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมด้วย ผู้มีอำนาจทั้งหลายต้องให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความเห็น เพราะประเทศใดไม่มีเสรีภาพ ประเทศนั้นก็หาความสงบไม่ได้ และย้ำด้วยว่า ประชาชนที่ต้องซ่อนไอพีควรลุกขึ้นมาเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน