Thu, 2010-08-05 19:15
แถลงการณ์จากคณะ กรรมการญาติวีรชนพฤษภา' 35 เรียกร้องนำทหารกลับกรมกอง ยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัวอย่างคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ให้ความเป็นธรรมต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ เลิกกล่าวหาว่าก่อการร้าย
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2553 คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 ได้เปิดแถลงข่าววิพากษ์วิจารณ์และข้อเสนอต่อรัฐบาลและกองทัพ รวมถึงบทบาท ศอฉ. ในการสลายการชุมนุมและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553
โดยมีประเด็นเรื่องการคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต ในคดีก่อการร้าย และข้อเสนออื่นๆ ต่อรัฐบาลในการยกเลิก พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ บทบาทของ ศอฉ. ในการใช้อำนาจตาม พรก. เพื่อรวบอำนาจและจัดโผทหารของตนเอง ฯลฯ
นาย
แถลงการณ์คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35
เรื่อง ขอความเป็นธรรมคืนให้กับผู้เสียชีวิต
ให้แก้ไขวิกฤติความแตกแยกด้วยเมตตาธรรม และการอโหสิกรรม
นับเป็นเวลา 18 ปี จากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและความสูญเสียทางสังคมเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 จากการต่อสู้และขับไล่เผด็จการทหารของคนทั้งประเทศ และได้สร้างบรรทัดฐานทางสังคมการเมืองขึ้น โดยนำทหารกลับกรมกองเพื่อเป็นทหารอาชีพโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองซึ่งเป็น กิจการของฝ่ายพลเรือน แต่ปัจจุบันสถานการณ์ของบ้านเมืองยังคงวิกฤติอย่างต่อเนื่อง ปัญหาความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมยังเป็นใจกลางของวิกฤติที่หนัก ที่สุดของสังคมไทย ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ดังปรากฏการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนกลุ่มต่างๆ ที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร่งด่วน อันจะนำไปสู่การสร้างความปรองดองและสามัคคีของคนในชาติ
โดยเฉพาะ การแก้วิกฤติที่เลวร้ายที่สุดเพื่อนำชาติกลับสู่ความสงบสันติโดยเร็ว ต่อกรณีการสูญเสียของประชาชนจำนวนมาก รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะทหาร อันเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศ ซึ่งได้รับความบาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์วิกฤติกลางเมือง คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35 เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าบางส่วนจะมีการประกอบพิธีศพ ได้รับการเชิดชูเกียรติตามความเชื่อของแต่ละศาสนาอย่างสมเกียรติชายชาติทหาร แต่ความเจ็บปวดจะติดตรึงตราบนานเท่านาน
คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35 จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและกองทัพ รวมถึงศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อให้มีการแก้ไขวิกฤติดังกล่าวอย่างเป็นธรรม เพื่อเยียวยาบาดแผลของสังคมที่เกิดขึ้นจากความรุนแรงในที่ผ่านมา ดังนี้
1. ขอให้ยกเลิกพระราชกำหนดในการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในทันที เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และส่งผลถึงความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลและกองทัพซึ่งใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งทำให้บาดแผลและรอยร้าวของสังคมไทยขยายออกไปเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นได้ว่า การใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่อ้างสถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งได้ส่งคนลงพื้นที่และใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมาก มีการคุกคาม ข่มขู่ ละเมิด สิทธิมนุษยชนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐ โดยที่ยังมีกฎหมายไทยอีกหลายฉบับที่ใช้บริหารประเทศได้ดีอยู่แล้ว เป็นที่ยอมรับต่ออารยประเทศ อีกทั้งยังไม่ถูกตำหนิจากประชาคมโลกด้วย และการตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยใช้อำนาจตาม พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ อย่างยาวนาน จะทำให้กองทัพเสพติดอำนาจและมีบทบาทที่ก้าวก่ายการเมืองซึ่งเป็นกิจการของ พลเรือนมากขึ้น จนถึงสร้างอำนาจรัฐซ้อนรัฐ นอกจากนี้ การใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากในกรณีนี้ จะต้องได้รับการเปิดเผยหรือตรวจสอบจากสังคมด้วย
2. กรณีผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยใช้สถานการณ์และกฎหมายดังกล่าว การปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นซึ่งเป็นข่าวปรากฏต่อสื่อมวลชลทั้งในและต่าง ประเทศ ว่าขาดหลักมนุษยธรรม จึงขอให้รัฐบาลและกองทัพ รวมถึงศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ปฏิบัติต่อเขาเหล่านั้นบนพื้นฐานแห่งหลักสิทธิมนุษยชนสากล ยกเลิกลัทธิทรมาน ทรกรรม แก้แค้น พยาบาท จองเวรกัน ซึ่งจะไม่มีการจบสิ้น อย่าลืมว่าวันนี้ท่านเป็นผู้ล่า แต่วันหน้าท่านอาจเป็นผู้หนี ดังนั้น ควรยึดหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา คือ การให้อภัย อโหสิกรรม เป็นหนทางแก้ไขปัญหา การปรองดองสมานฉันท์ก็จะได้เกิดขึ้นได้จริง
3. กรณีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว ขอให้ความเป็นธรรมต่อผู้ตายที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ยกเลิกการกล่าวหาว่าเขาเหล่านั้นเป็นผู้ก่อการร้าย โดยยึดหลักเมตตาธรรมแห่งพระพุทธศาสนา และเป็นหลักที่คนไทยยึดถือและตกทอดมาเป็นจิตวิญญาณของคนไทย จึงขอให้แก้ไข เยียวยา และคืนเกียรติยศและศักดิ์ศรีแก่คนที่เสียชีวิตเหล่านั้นโดยเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีการใช้เหตุผลต่างๆ มาอธิบายเพื่อความชอบธรรมให้ตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของคนจำนวนมาก ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐ รัฐและผู้ใช้อำนาจนั้นมิอาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ หากรัฐไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องและเที่ยงธรรม ข้อเรียกร้องเหล่านี้จะถูกยกมาในรัฐบาลต่อๆ ไปอย่างไม่รู้จบ
คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35 เห็นว่า วิกฤติของประเทศต้องปฏิรูปด้วยการใช้เมตตาธรรม และการอโหสิกรรมเท่านั้น เพราะผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ไม่ว่าทางกฎหมายอาญาใดๆ ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อได้เสียชีวิตไปแล้ว และโดยประเพณี วัฒนธรรม ตามหลักพุทธศาสนาของสังคมไทยที่ถือปฏิบัติ ย่อมมีแต่ความเมตตา และการอภัยให้กันและกันเท่านั้น จึงจะสร้างสันติสุขให้กับสังคมได้อยู่ร่วมกันต่อไป ดังนั้น บุคคลที่สูญเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวเหล่านั้น จึงควรได้รับเมตตาธรรม และการอโหสิกรรม ไม่ใช่การกล่าวหาผู้ตายว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และจะต้องได้รับการเชิดชูยอมรับโดยรัฐบาล ในฐานะประชาชนของประเทศ
5 สิงหาคม 2553
ณ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา กรุงเทพฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น